อย่าลืมรักแห่งไม้กางเขน

ศบ.

 

1 คร. 11:24

 

         “จงกระทำอย่างนี้ ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”   

 

         วันนี้  เป็นอีกวันหนึ่งที่มีการถือศีลมหาสนิท  เราถือกันทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน  ทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่งสาวก  ในคืนวันที่พระองค์จะถูกอายัด และถูกตรึงที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่โทษบาป  พระองค์ทรงสั่งให้สาวกระลึกถึงพระองค์  ตรัสว่า ทุกครั้งที่รับประทานขนมปัง และดื่มน้ำองุ่น   

 

          ขนมปัง  และน้ำองุ่นเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวยิว  เหมือน ข้าวแกง และ น้ำแข็งเปล่า ของคนไทย  คนยิวกินขนมปัง และดื่มน้ำองุ่น ทุกวัน   เหมือนคนไทยกินข้าว ดื่มน้ำทุกวัน  “เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด  จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา” นั้นแปลว่า  เจตนาของพระองค์ คือให้เราที่เป็นผู้เชื่อคิดถึงพระองค์เสมอ  บ่อย ๆ ไม่ขาดหายไปจากความทรงจำ  

 

           เรื่องอะไร ที่พระเยซูไม่ประสงค์ให้เราลืม

 

          ก็คือ  เรื่องการวายพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน  ยังไงล่ะ

 

          การวายพระชนม์ที่ไม้กางเขน  เป็นการยอมเจ็บปวด  ทุกข์ทรมาน  พลีชีพเพื่อไถ่โทษบาปของเรา  ผมนึกถึงยอห์น  ที่ไปยืนมองพระองค์  ขณะถูกทหารโรมเฆี่ยนด้วยแส้ติดกระดูก  กระชากเนื้อหลุดออกมากับเศษกระดูกปลายแส้   ปางตาย  ภาพที่พระองค์ที่อด


                                   

 

นอนมาทั้งคืน ต้องแบกไม้กางเขน  ราวกับผู้ร้ายฆ่าคน  ต่อหน้าต่อตาตนทั้งเมือง บนเนินเขาโฆละโฆธา  พระองค์ถูกขึงบนกางเขน  ถูกตอกตะปูที่ฝ่าพระหัตถ์  และฝ่าพระบาทติด  ถูกทหารโรมัน ดึงไม้กางเขนนั้นขึ้นด้วยเชือก  กระแทกลงไปในหลุมโดยไม่ปรานีปราศรัย ว่ากระดูกจะหลุดลุ่ยลงอย่างไร   ผู้ที่ถูกตรึงจะเจ็บปวดแค่ไหน  ทั้งหมดนี้พระองค์ทรงเต็มพระทัยรับโทษเพื่อเรา  เพราะรักเรา

 

             นี่แหละครับ  ที่พระเยซูไม่อยากให้เราลืม  

 

              ทำไม  การคิดถึง รักแห่งไม้กางเขน  จึงเป็นประโยชน์กับเรา 

 

         (1) ช่วยให้เรารักคนอื่น  

 

              ยอห์น สาวกที่พระเยซูรัก  และสาวกคนเดียวที่ยืนมองพระองค์ที่ไม้กางเขน  กล่าวไว้น่าฟังยิ่งว่า  “เราทั้งหลายรัก   ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)  

 

              ผมทำงานรับใช้มาหลายปี  มีคนเคยปรารภกับผมว่า  เขารักใครเป็นเพราะ เพราะไม่เคยมีใครรักเขา  แล้วเขาก็สาธยายอดีต  ตั้งแต่วัยเด็ก  การโตขึ้นในบ้านที่พ่อแม่ไม่รัก  ไม่เอาใจใส่  ไม่ให้ความเป็นธรรม  รักพี่รักน้องเขา  แต่ไม่รักเขา  พ่อแม่ยังบอกว่า เขาเกิดโดยพ่อแม่ไม่ตั้งใจ  อยู่ในโรงเรียนก็หาคนรักไม่ได้  มีแต่คนอยากตวงเอาผลประโยชน์จากเขา  ครูก็ไม่รัก  แต่งงานมีครอบครัว สามีก็ไม่รัก  บางคนถึงขนาดบอกว่า มาอยู่ในสังคมคริสเตียน  ยังหาคนรักไม่ได้เช่นเดียวกัน  ฟังดูแล้วมันเหือดแห้งไปหมด  เหมือนแก้วที่ไม่มีน้ำ แล้วจะเทอะไรออกไปให้ใครที่ไหนได้  ผมก็อดเสียใจกับคนที่มีประสบการณ์เช่นนี้ ไม่ได้   ได้แต่แนะนำว่า  อย่าไปสนใจสังคม เราไปบังคับสังคมให้มารักเราไม่ได้  เอาเป็นว่า  ให้เราเริ่มต้นที่เราก่อน  รักคนอื่นแม้เขาอาจไม่รักเรา  ผมอ้างถึงคำพูดของ  เบนยามิน  แฟรงคลิน  ท่านว่า “If you would be loved, love and be lovable.” ผมแปลน่ะครับ  “ถ้าท่านอยาก


                                               

 

ให้ตนเป็นที่รักของคนอื่น  จงรักเขา  และทำตัวให้น่ารัก”  ผมคิดว่าหลายคนจึง พยายามทำอย่างนี้  โดยการเอาใจคนโน้นคนนี้  ไม่ขัดใจใคร  เหมือนการแบมือของความรัก 

 

             เป็นอันว่า มันจะเริ่มกันตรงไหน  ให้สังคมรักเราก่อนหรือ  คงยาก  เพราะต่างคนต่างยุ่งอยู่กับตัวเอง  เขาจะมาสนใจเราอย่างไร  เริ่มรักเขาก่อน อย่างเบนยามิน แฟลงกลินว่าหรือ   ฟังดูดีน่ะ  แต่จะทำได้อย่างไร  โดยเฉพาะ ถ้าเราเติบโตขึ้นมาอย่างแก้วน้ำที่เหือดแห้ง หาน้ำสักหยดก็ไม่มี ไม่รู้จะเอารักที่ไหนไปเทให้ใคร  อาจทำได้ก็เหมือน การย้อมใจ บีบคั้น  ถีบตัวเองขึ้นไปสำแดงความรัก ซึ่งเป็นรักแกนๆ เท่านั้น

 

            คำตอบคือ  ให้เรามาเริ่มที่พระเยซูสิครับ

 

            “เราทั้งหลายรัก   ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” มีคริสเตียนคนไหน ไม่รู้จักไม้กางเขน  ไม่รู้จักความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานที่พระองค์ทรงมีให้เรา  ขณะที่เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว  เป็นคนบาป  ไม่น่ารักเอาเลย  พระองค์ ทรงรักเรา รักจริง  รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ได้รักเรา เพราะรูปลักษณ์   ตำแหน่ง  ชื่อเสียง  วุฒิ หรือ  ฐานะ  แต่รักเรา อย่างที่เราเป็น  เป็นรักที่ยั่งยืน  ไม่เสื่อมคลายเสียด้วย  ยอห์นกล่าวด้วยว่า “โดยข้อนี้   ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย  คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวเข้ามาในโลก  เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร  ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้  มิใช่ที่เรารักพระเจ้า  แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา  และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย” ( 1 ยอห์น 4:9-10 )  

 

          ในวันแม่  เราคุยกับลูกๆ เสมอว่า  ถ้ารักแม่ไม่เป็น  ก็ลองมองดูผู้หญิงตั้งครรภ์  ว่าเธออุ้ยอ้ายแค่ไหน  เธอแพ้ท้องอย่างไร  เธออุ้มท้องลูกน้อยนานถึง  9 เดือน  ถึงวาระที่จะเธอคลอดลูก เธอก็เจ็บปวด  คลอดแล้วก็ยังต้องคอยประคบประหงม 

 

                            

 

อย่างไร  จากทารกน้อย  ที่ช่วยตัวเองไม่ได้  ให้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว  ครั้งหนึ่ง  เราคือคนที่อยู่ครรภ์ของคุณแม่  ยากหรือที่จะรู้จักรักของแม่  ทำนองเดียวกัน ยากหรือที่จะรู้จักรักของพระเยซู   ตรงกันข้าม   

      

         ง่ายที่จะซาบซึ้งรักที่ไม้กางเขน

 

         นี่คือเหตุผลที่  พระองค์ตรัสกับเราว่า  “เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด  จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา” หากเราได้คิดถึงรักของพระองค์ที่ไม้กางเขน  เราจะมีพลังในการสำแดงความรักแก่คนทั้งหลาย  “ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น  เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย” ( 1 ยอห์น 4:11)  ชีวิตสาวกสู่สังคม  จึงก้าวไปอย่างมีชีวิตชีวา  มีพลังยิ่งใหญ่  รักคนที่ไม่น่ารัก  รักแม้กระทั่งศัตรู  พระองค์จึงปรารถนาให้เราซาบซึ้งไม้กางเขน  และไม่อยากให้เราลืม

 

          (2) ช่วยให้เรายกโทษคนอื่น

 

          ไม้กางเขน  ทำให้เราสามารถยกโทษ  คนทำผิดที่กลับใจ  ที่ไม้กางเขนพระองค์ตรัสว่า  “โอ พระบิดาเจ้าข้า  ขอโปรดอภัยโทษเขา  เพราะว่า  เขาไม่รู้ว่า  เขาทำอะไร” (ลูกา 23:34)  เมื่อเปโตรถามพระองค์ว่า”หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำความผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป   ข้าพระองค์ควรยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง  ถึงเจ็ดครั้งหรือ” พระเยซูตอบเปโตรว่า  “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งด้วยเจ็ดสิบ” (มัทธิว 18:21-22)  ทุกครั้งที่เราเจ็บปวดเพราะ คนมาทำให้เราเจ็บ  เช่น  เขามาด่าเรา  กลั่นแกล้งเรา ให้ร้ายเรา  ข่มเหงเรา  วันหนึ่งเขากลับใจ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงความรักของพระเยซู  ราคงยกโทษยากอย่างที่เปโตร ถาม  แต่รัก และการให้อภัยที่ไม้กางเขน  ทำให้เรารักคนที่ไม่น่ารักได้  พระองค์จึงไม่อยากให้เราลืม

 

       (3) ไม้กางเขนทำให้เราชนะบาป  ด้วย

 

           พระเจ้าไม่เคยถือว่าบาปเป็นเรื่องเล่น ๆ  และการยกโทษบาป  ก็เช่นเดียวกัน  พระองค์ทรงลงทุนทั้งชีวิต เสด็จเข้ามาในโลกวายพระชนม์เพื่อเรา “ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว  ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” (ฮีบรู 9:22)  รักใหญ่กว่านี้ไม่มี  พระองค์ทรงเทหมดหน้าตัก ทุ่มทั้งชีวิต เหตุก็มาจากการที่เราได้ทำบาป  ขบถ ใช้ชีวิตตามอำเภอใจตนเอง  เราถึงต้องโทษ ผมรู้จักคุณแม่คนหนึ่ง  แกทำงานหาบเร่ขายอาหาร เลี้ยงชีพมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก  วันหนึ่ง  ลูกเขาติดคุก  เพราะยาเสพติด  เพราะรักแกกวาดเงินทั้งหมดเท่าทีมี  เอาเงินไปประกันลูกตัวเองออกมา  แม้หมดตัว  ต้องหามื้อกินมื้อต่อไปแกก็ยอม  ถามว่าลูกจะไปเล่นยาเข้าคุกอีกหรือ   คิดถึงแม่ ที่เทเงินหมดกระเป๋าไปไถ่ลูกออกมา  ลูกที่ดี ก็กลับไปเสพยาไม่ได้เสียแล้ว ไม้กางเขนทำให้เรา ไม่อยากกลับไปทำบาป  เปาโลกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะว่าอย่างไร   ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป  เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ    อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้” (โรม 6:1-2)  ครับ ระลึกถึงไม้กางเขน  เราไม่มีกะจิตกะใจหวนกลับไปทำบาปอีก   

 

           พระเยซูช่วยให้เราไม่ลืม

 

          คนเราขี้ลืม  เราลืมเพราะง่วนอยู่กับเรื่องสัพเพเหระ  แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์เรายุ่งขิงอยู่กับเรื่อง อาหาร เสื้อผ้า  รถ บ้าน  การกินการอยู่  ความสำเริงสำราญ พระองค์ถึงได้ตั้งสะบาโตไว้ให้เรา ให้เราทำงาน 6 วัน  วันที่เจ็ดยกไว้เป็นวันบริสุทธิ์ นมัสการ ระลึกถึงพระองค์  เราชอบเบี่ยงเบนสายตาไปสู่เรื่องภายนอก  มากกว่าจิตใจภายใน  พระเยซูตรัสว่า  มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้  แต่ด้วยทุก ๆ ถ้อยคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์  ซาโลมอนกล่าวว่า “ที่ใด ๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย  แต่คนที่รักษาพระบัญญัติจะเป็นสุข”  (สุภาษิต 29:18)  เราถึงต้องอ่านพระคำ และฟังเทศน์ยังไงล่ะ  เราลืม เพราะการล่อลวงใจมันมาแรง  ไม่มียุคใดที่  กระแสของสื่อทั้งดีและเลว  ทะลักเข้ามาสู่ความคิดของเราและลูกหลาน ท่วมท้นเท่ากับยุคนี้  พระเจ้าเคยขอให้โมเสสแต่งเพลงให้


                                   

 

คนยิวร้อง  ก่อนเข้าคานาอัน ให้เราร้องจนติดปาก  เพราะกระแสการยั่วยวน ให้ทำผิดในคานาอันนั้น จะพาให้พวกเขาลืมพระองค์ (ฉธบ 31:19)   

 

            สมัยผมเรียนเตรียมเภสัช  เป็นปีแรกที่ผมพบว่า  ตนเองสายตาสั้น นั่งในห้องเรียน  มองดูกระดานไม่เห็น  ผมต้องไปตัดแว่น  ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากสวมแว่นตาเลย  เมื่อสวมแว่นครั้งแรก  ผมอธิษฐานและบอกตัวเองว่า  ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอพระเจ้าช่วยให้การสวมแว่นของผม  เป็นการเตือนสติตัวเองว่า  “จะมองอะไร จะมองด้วยการพินิจพิเคราะห์เสมอ”  แว่นคือแว่น  สวมแว่น ไม่สวมก็แค่นั้น  

 

            ผมนำเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับศีลมหาสนิท  


                        

 

       พระเยซูตรัสว่า  กินขนมปังนี้  ดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด  จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงพระองค์   พระเจ้าช่วยคนขี้ลืมครับ   ขนมปัง ก็คือขนมปัง  น้ำองุ่นก็คือน้ำองุ่น  กินดื่มอย่างไม่คิดอะไร  เราก็ไม่ได้อะไรและเสียหาย  แต่เมื่อเราตั้งใจ ศีลมหาสนิท  ช่วยเสริมให้เราคิดถึงพระเยซู  ช่วยให้เราเข้มแข็ง เพราะเราเตือนตนอยู่เสมอว่า  มีผู้หนึ่งรักเรา รักเราจริง รักเราไม่เสื่อมคลาย รักขนาดยอมพลีชีพให้เรา  ว๊าว!  เราไม่ได้เป็นแก้วไร้น้ำอีกต่อไป  แม้ประสบการณ์ในอดีตเราจะผ่านมาอย่างไร  วันนี้  เรามาพบรักเข้าแล้ว ผมนึกถึงดอกไม้สีม่วง  มีกลีบดอกห้าแฉก เป็นพุ่มสวยเชียว   มีชื่อว่า Forget me not  แปลเป็นไทยว่า  “อย่าลืมฉัน”  อันหมายถึงรักแท้  ที่ชายหนุ่มมอบให้หญิงสาวที่ตนรัก   วันนี้  พระเยซูตรัสสั่งเราว่า “อย่าลืมฉัน”  “อย่าลืมความรักของเรา”

 

              ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ  



Visitor 100

 อ่านบทความย้อนหลัง