หนทางแห่งพระพร


ศบ.
สดุดี 1
1 ความ​สุข​เป็น​ของ​บุคคล ผู้​ไม่​ดำเนิน​ตาม​คำแนะนำ​ของ​คน​อธรรม หรือ​ยืน​อยู่​ใน​ทาง​ของ​คน​บาป หรือ​นั่ง​อยู่​ใน​ที่​นั่ง​ของ​คน​ที่​ชอบ​เยาะ​เย้ย
2 แต่​ความ​ปีติ​ยินดี​ของ​ผู้​นั้น​อยู่​ใน​พระ​ธรรม​ของ​พระ​เจ้า เขา​ภาวนา​พระ​ธรรม​ของ​พระ​องค์​ทั้ง​กลางวัน​และกลางคืน

3 เขา​เป็น​เช่น​ต้นไม้​ที่​ปลูก​ไว้​ริม​ธาร​น้ำ ซึ่ง​เกิดผล​ตาม​ฤดูกาล และ​ใบ​ก็​ไม่​เหี่ยว​แห้ง การ​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​เขา​กระทำ​ก็​จำเริญ​ขึ้น
4 คน​อธรรม​ไม่​เป็น​เช่นนั้น แต่​เป็น​เหมือน​แกลบ​ซึ่ง​ลม​พัด​กระจาย​

5 เหตุ​ฉะนั้น​คน​อธรรม​จะ​ไม่​ยั่งยืน​อยู่​ได้ เมื่อ​ถึง​คราว​พระ​เจ้า​ทรง​พิพากษา หรือ​คน​บาป​ไม่​ยืน​ยง​ใน​ที่​ชุมนุม​ของ​คน​ชอบธรรม
6 เพราะ​พระ​เจ้า​ทรง​ทราบ​ทาง​ของ​คน​ชอบธรรม แต่​ทาง​ของ​คน​อธรรม​จะ​พินาศ​ไป​


คนเรามีความสุข เพราะเลือกใช้ชีวิตถูก

ใครในโลกนี้ ต่างก็ต้องการความสุข ความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองกันทั้งนั้น พระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นต้นว่า “ความสุข เป็นของบุคคล....” พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ว่า “พระพร เป็นของบุคคล..” ที่เรียกว่า “พระพร” นั้น แปลว่า “รางวัลที่พระเจ้าทรงประทานให้” แน่นอน ย่อมหมายถึง สุขใจ ใจมีสันติสุข อิ่มเอม พึงพอใจ สุขภาพดี อายุยืนยาว รวมไปถึง มีครอบครัวดี รวมไปถึงลูก หลานเหลน โหลน ธุรกิจการงานก็รุ่งโรจน์ ทำมาค้าขึ้น ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะ อย่างที่พระเจ้าตรัสกับโมเสส (ฉธบ 7:13) แล้วมีใครล่ะไม่อยากได้ จริงอยู่ เรารู้ดีว่าคนเราย่อมมีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป มีทั้งขึ้นสูง และมีทั้งลงต่ำด้วย แต่ สุขใจ ภายใน นั้นเราย่อมมีอยู่เสมอ แม้เราจะเผชิญพายุร้าย ภายนอก จนเกิดความหวาดหวั่น แต่ผลที่สุดแล้ว พระพร จะครอบคลุมไปถึงภายนอกด้วย อย่างแน่นอน

เราจะมีพรได้อย่างไร

1. อยู่ที่เราเลือก ไม่ใช่ ตามที่เราเกิดมา



ไม่มีใครในโลกนี้ เกิดมาเป็นคนดี หรือเกิดมาเป็นคนชั่ว หนุ่มฝาแฝดสองคน คนหนึ่งเป็นขี้เหล้า เมาหยำเป ในบ้านมีแต่เสียง ทะเลาะด่าทอทุกวัน อีกคนหนึ่ง เป็นผู้จัดการบริษัท ขยันทำงาน มีครอบครัวดี มีใจเมตตาช่วยคน นักข่าวไปสัมภาษณ์คู่แฝดคนแรก ว่า ทำไมคุณถึงใช้ชีวิตอย่างนี้ เขาตอบว่า “คุณจะให้ผมใช้ชีวิตยังไง ผมเกิดในบ้านที่พ่อแม่ทะเลาะกันไม่ว่างเว้น พ่อไปมีเมียใหม่ แม่ไปมีผัวใหม่ คุณจะให้ผมใช้ชีวิตยังไง” นักข่าวมีโอกาส ไปสัมภาษณ์คู่แฝดที่เป็นผู้จัดการบริษัทว่า ทำไมคุณถึงใช้ชีวิตได้อย่างนี้ น่ารักมากเลย เขาตอบอย่างเดียวกันเป๊ะ ว่า “คุณจะให้ผมใช้ชีวิตยังไง ผมเกิดในบ้านที่พ่อแม่ทะเลาะกันไม่ว่างเว้น พ่อไปมีเมียใหม่ แม่ไปมีผัวใหม่ คุณจะให้ผมใช้ชีวิตยังไง”
แปลว่าอะไร มันขึ้นอยู่กับการเลือกของแต่ละคน ไม่ใช่ กรรมพันธุ์ หรือสิ่งอื่น ทฤษฎี ที่บอกว่า “คนเราชั่ว เพราะมีเลือดชั่ว มาแต่บรรพบุรุษ” คงตอบเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะทั้งสองเป็นคู่แฝด เกิดจากพ่อแม่คู่เดียวกัน มีสายเลือดเดียวกัน คลอดจากครรภ์มารดา คลานตามกันมา เหมือน เอซาว กับยาโคบ คือ เป็นลูกของ นางเรบาคา และ อิสอัค ทั้งคู่ จริงอยู่ เอซาว ชอบล่าสัตว์ ยาโคบชอบอยู่กับบ้าน อันเป็นตะลันที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องศีลธรรมอะไร แต่การใช้ชีวิตของทั้งสองนั้นต่างกัน ยาโคบเลือกใฝ่ใจ ยำเกรงพระเจ้า แต่เอซาว ปล่อยตัว เล่นกับชีวิต ดูหมิ่นทางพระเจ้า

2. อยู่ที่เราเลือก แม้มีมีสิ่งแวดล้อมน้อมนำ

คนเราเกิดมาในสภาพสิ่งแวดล้อม ไม่เหมือนกัน สิ่งแวดล้อม มีแนวโน้ม ชักจูงให้เราทำตาม ซึ่งมีทั้งดีและชั่ว คนไทยเราว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” กษัตริย์ดาวิด กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะมองหาคนซื่อตรงในแผ่นดิน เพื่อเขาจะอาศัยอยู่กับข้าพระองค์ … ผู้ที่ประพฤติหลอกลวง จะไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนของข้าพระองค์” (สดุดี 101:6-7) ฝาแฝด ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น โตขึ้นในบ้านพ่อแม่เดียวกัน พบสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกัน คุ้นเคยกับเสียด่าทอ กลิ่นเหล้าเหมือนกัน แต่ทั้งสองคิดต่างกัน คนหนึ่งยอมแพ้กับชีวิต แต่อีกคนไม่ยอม เขาคงคิดว่า “ผมจะไม่มีวัน สร้างครอบครัวเหมือนพ่อ” แล้วเขาก็เลือกสิ่งที่ตรงกันข้าม กับสภาพบ้านตน

3. เลือกยำเกรงพระเจ้า แทนการปล่อยตัวตามกระแสโลก
อาวา อาดัม ในสวนเอเดน คงมีความสุขยั่งยืน หากทั้งสองฟังพระสุรเสียงพระเจ้า แต่วันหนึ่งเขาฟังเสียงมาร สวนเอเดนกว้างใหญ่ไพศาล พระเจ้าตรัสว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่….ผลของต้นไม้นั้น อย่ากิน” (ปฐก 2:16-17) ผมนึกภาพว่า เอเดนคงมีผลไม้เป็น ร้อย ๆ พัน ๆ ต้น ล้วนเป็นพระพรทั้งสิ้น มีแต่ต้นเดียวที่ทรงห้าม ว่าอย่ากิน ในโลกที่เราอยู่ คนเราประกอบอาชีพได้สารพัด ทำอะไรก็ได้ ทำไมต้องเลือกค้าของเถื่อน เครื่องดื่มมีให้เลือกดื่มร้อยแปดชนิด ทำไมต้องดื่มเหล้า การมีสุขกับครอบครัวเป็นหนทางง่ายดาย ทำไม ต้องฝ่าจิตสำนึก วางแผนลึกลับหลบซ่อนตาสังคม ที่ยากกว่าเป็นร้อยเท่า ไปมีกิ๊ก
ผู้เขียนสดุดี เตือนให้เราระมัดระวังตัว จะได้ไม่พลาด ทำผิด
ผู้เขียนฮีบรู บอกว่า “จงเตือนสติกันและกันทุกวัน ที่เรียกว่าวันนี้ เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป” (ฮีบรู 3:13)

 


(1) อย่าดำเนินตามคำแนะนำคนชั่ว (2) อย่ายืนในทางของคนบาป (3) อย่านั่งในที่นั่ง คนชอบเยาะเย้ย วอทแมน นี นักเทศน์ชาวจีน เคยให้ข้อสังเกตว่า เส้นทางที่คนเราทำผิด มันไม่ได้เกิดจากอยู่ ๆ ก็เข้าไปจมปลักในการทำผิด ไม่มีใคร วันนี้อยู่กินกับลูกกับเมีย มีสุขด้วยกัน วันรุ่งขึ้นก็ผละภรรยาไปมีชู้ แต่มันมีขั้นมีตอน บาปมีเล่ห์ มารมีเพทุบาย ส่วนการล่อให้หลงนั้นมีในโลกนี้เสมอ พระเยซูตรัสว่า “จำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด..” (ลูกา 17:1) การล่อลวงยังมีอยู่ เกิดได้กับคนทุกวัย ถ้าเราไม่ฟังเสียงพระเจ้า เราอาจคล้อยตามเสียงชักจูงนั้นได้ ครั้งแรกเดินตาม ต่อมา หยุดยืน แล้วที่สุดก็นั่งลงกับเขา
ผมนึกถึงโลท หลานของอับราฮาม ตอนที่จะแยกทาง กับ อับราฮาม “โลทเงยหน้าขึ้นแลดู ที่ลุ่มแห่งแม่น้ำจอร์แดน ทางทิศเมืองโศอาร์ เห็นว่ามีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเจ้า เหมือนแผ่นดินอียิปต์ แล้วโลทก็เลือก.. ” (ปฐมกาล 13:10) ถ้า กิ๊ก ที่ล่อใจเรา ugly น่าเกลียด ใครจะไปหลงเธอ ถ้าผลไม้กลางสวน เน่าเฟะ ไม่ชวนกิน อาวาจะไปสนใจทำไม ทีแรกเธอเดินผ่าน มองผาด มันชวนกิน แต่นี่คือขั้นแรก ที่ผู้เขียนสดุดี เตือน “ไม่ดำเนินตาม” แล้วขั้นตอนที่สองก็ตามมา “โลท อาศัยอยู่ท่ามกลางหัวเมืองที่ลุ่มน้ำ และย้ายเต็นท์ไปตั้งถึงเมืองโสโดม ชาวโสโดมเป็นคนชั่วช้า ทำบาป ผิดต่อพระเจ้าเป็นอันมาก” (ปฐมกาล 13:12-13) “ก้าวเข้าไปอีกนิด ชิด ชิด เข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อย ๆ” กำลังคืบเข้ามา ครับ โลทไปยืน ตรงประตูทางเข้าโสโดม เพราะความประมาท เขาอาจคิดว่า ไม่เป็นไร นี่มันนอกประตูเมือง พระเยซูทรงสอนเราว่า เมื่ออธิษฐานจงว่า “ขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง” (มัทธิว 6:13) แล้วขั้นตอนที่สาม ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว วันที่โสโดมมีศึก ชาวเมืองถูกกวาดไปเป็นเชลย จนอับราฮามยกพลไปช่วย เขาจับโลทไปด้วย เพราะ โลทตั้งรกรากในโสโดมแล้ว (ปฐมกาล 14:12) โลท นั่ง ในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย ไปแล้ว มันเป็นบทเรียนกับเรา ระวัง เดิน ยืน แล้วที่สุดก็นั่งกลางวง คนเล่นไพ่ ครั้งแรกก็คงเดินผ่าน ต่อมาก็คงไปยืนดู แล้วที่สุดก็นั่งกลางวงไพ่ อาจเป็นเจ้ามือเสียด้วย กอร์ดอน โอลสัน แนะนำว่า การชนะการทดลอง ต้องรีบปฏิเสธตั้งแต่วินาทีแรก

4. เลือกดำเนินตามพระวจนะ
“แต่ความปีติยินดีของผู้นั้น อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า”
อับราฮาม ต่างจากโลท มองผาด ๆ ดูภายนอก ดินแดนที่อับราฮามอาศัยอยู่ ไม่รื่นรมย์ เพราะเป็นทะเลทราย แต่เป็นดินแดนที่ พระเจ้าทรงสัญญา เป็นดินแดนแห่งพระพร อับราฮามโมทนาพระคุณพระเจ้า (ปฐมกาล 13:14-18)
เวลาโยชูวา จะพาคนอิสราเอลเข้าไปยึดครองคานาอัน เมืองที่เต็มไปด้วยการล่อลวงให้ทำผิด พระเจ้าสอนพวกเขาว่า “จงระวังที่จะกระทำตาม ธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเรา ได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือ หรือทางซ้ายมือ เพื่อว่าจะเจะไปถิ่นฐานใด เจ้าจะได้รับความสำเร็จ” (โยชูวา 1:7) “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวัน กลางคืน..แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ”
ตรงกันข้ามกับการไปฟัง คนชั่ว เดินตามทางผิด คนที่ต้องการพระพร ต้องรักและ เอาใจใส่พระวจนะ
เปาโล สอนทิโมธี ที่เมืองเอเฟซัส ว่า “ขณะคนชั่ว และคนเจ้าเล่ห์จะเลวลง ทั้งล่อคนอื่น และถูกคนอื่นล่อลวงด้วย แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้แล้วว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด และตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอด โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:13-15)
ผมโตขึ้นมาในบ้านคุณพ่อคุณแม่ สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณท่านมากยิ่ง คือการพยายามปลูกฝังลูก ๆ ให้รักพระคัมภีร์ เกือบทุกวันคริสตมาส เราจะได้รับแจกพระคัมภีร์เล่มใหม่ ท่านชวนเรามานั่งอ่านพระคัมภีร์ทุกเช้า จัดประชุม เชิญนักเทศน์ที่มาเยี่ยมบ้านให้แบ่งปันพระคำ ถึงวันนี้ ผมเห็นว่า ท่านลงทุนให้สิ่งที่ดีที่สุด ตั้งแต่อดีตถึงวันนี้ คงไม่มียุคใดที่การล่อลวงให้หลง พาคนเข้ารกเข้าพง ได้มากเท่ายุคนี้ ที่มีการใช้โซเชียลมีเดียสะพัด มีทั้ง คลิปหลอก คลิปลือ คลิปล่อ คลิปลวง และคลิปหลุด ทั้งหลอกคนอื่น และถูกคนอื่นหลอก อย่างเปาโลเตือนทิโมธี มีสิ่งเดียวที่เชื่อถือได้ และเราต้องยึดมั่นคือ พระคำของพระเจ้า เป็นพระวจนะที่ “ช่วยแก้ไขให้เป็นคนดี พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง”(2 ทธ 3:16-17)


5. ยินดีทำตามพระวจนะ
การรำพึง แปลว่า จดจำ ท่องบ่น เอาใจใส่ ผู้เขียนสดุดีใช้คำว่า “ภาวนาทั้งกลางวัน กลางคืน” ไม่ใช่ด้วยฝืนใจ หรือเพราะถูกบังคับ แต่เพราะรักพระคำ อยากรู้ อยากเรียน อยากอ่าน อยากค้นคว้า เหมือนสาวกรุ่นแรก “ขะมักเขม้นฟังคำสอนของอัครทูต” (กิจการ 2:42)
การท่องพระคำ ข้อความที่ท่องจะมาติดที่สมองหรือความทรงจำ แต่เมื่อเราปฏิบัติ ทำตาม มันก็กลายเป็นประสบการณ์ของเรา จากสมองมันมาถึงแขนถึงขาเรา พระเยซูตรัสว่า ไม่มีใครแข็งแรงโดยการฟังเฉย ๆ เพราะเขาจะ เหมือนคนที่สร้างบ้านบนดินทราย พายุพัด เรือนก็พัง แต่ถ้าเราทำตามพระวจนะ เราก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างสร้างบ้านบนศิลา พายุกระหน่ำอย่างไร เราก็มั่นคงได้ คนที่ต้องการพรจากพระเจ้า ต้องทำตามพระคำที่เรียนรู้


6. เราต้องยึดถือพระวจนะ ต่อเนื่อง
ผู้ที่ปรารถนาชีวิตที่เป็นพระพร ต้องยินดีฟังและทำตามต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ปลูกไว้ริมธารน้ำ ไม่ใช่ตื่นเต้นตอนเชื่อใหม่ ๆ หรือ กระตือรือร้นตอนประชุมฟื้นฟู หรือ หันมาถือศีลอดตอนเจอศึกหนัก แทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ใกล้ชิดติดสนิท ได้รับน้ำเลี้ยง อย่างกิ่งที่ติดกับต้น (ยอห์น 15:4-5) อย่างต้นไม้ปลูกไว้ริมธารน้ำ (สดุดี1:3) “แดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบมันเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล” (เยเรมีย์ 17:8)

ชีวิตคนเราอยู่ที่เราเลือก การเป็นคริสเตียน กานภายนอกของเรามิได้เปลี่ยนแปลงอะไร การมาเชื่อพระเจ้า กรุ๊ปเลือดในร่างกายเรามิได้เปลี่ยนจาก กรุ๊ป O เป็นกรุ๊ป AB เรายังมีกรุ๊ปเลือดเดิม ผิวพรรณเหมือนเดิม สูงเท่าเดิม เรามิเปลี่ยนจากคนเป็นทูตสวรรค์ คริสเตียนหลายคนอยาก อธิบายว่าอย่างนั้น แต่กายภาพเราเหมือนเดิมทุกอย่าง ถ้าอย่างนั้นอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตเรา วิถีการดำเนินชีวิตต่างหาก ที่ต้องเปลี่ยน เราไม่เล่นกับบาป ไม่เลือกเดินอย่างไม่แยแสพระเจ้า ไม่ใส่ใจโบสถ์ ไม่สนใจพระคำ เดินตามใจตนเอง ฝืนสิ่งที่พระเจ้าสั่ง ตรงกันข้าม เราต้องระมัดระวังชีวิต ศรัทธาพระคริสต์ รักสิ่งที่พระเจ้าสอน เชื่อฟังพระองค์ วันต่อวัน เรื่องต่อเรื่อง แล้วที่สุดเราจะได้รับพระพร เจริญขึ้นทุกด้าน ไม่สิ้นสุด

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




Visitor 1531

 อ่านบทความย้อนหลัง