อันดรูว์ สาวก นักนำคนมาหาพระเยซู


ศบ.
อันดรูว์ นักนำคนมาหาพระเยซู


การนำคนมาหาพระเยซู การชวนคนมาโบสถ์ เป็นงานสำคัญที่คริสตจักรต้องการ หลายคนทำได้ดี ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์ บอกว่า คนที่นำคนมาหาพระจ้าได้ดีที่สุด คือ คนใหม่ ถึงกระนั้น หลายคนแม้เป็นคริสเตียนนานแล้ว ก็เป็นนักนำคน วันนี้ผมขอพูดเรื่อง อันดรูว์ สาวกคนแรกของพระเยซู เขาเป็นนำคนมาพบพระองค์
อ่านยอห์นบทที่ 1 ก็จะรู้จัก สาวก 5 คนแรกของพระเยซู ในบรรดาสาวกทั้งหมด เป็นที่ยอมรับกันว่า สาวกคนแรกของพระเยซู คืออันดรูว์ ผมจึงขอพูดถึงอันดรูว์คนนี้


1. แสวงหา ตื่นเต้นที่จะพบพระผู้ช่วย
แรกเริ่มเดิมที ยอห์น ผู้ให้บัพติสมาซึ่งพระเจ้าใช้ให้เป็นผู้นำทางพระเยซู ประกาศอยู่ที่แม่น้ำจอร์แดนตอนล่าง ผู้คนในยุคนั้นกำลังสิ้นหวังกับ กษัตริย์เฮโรด ที่เสวยสุขโดยไม่สนใจความทุกข์สุขของประชาชน คนเบื่อหน่าย พระวิหารที่มีมหาปุโรหิต อย่างคายาฟาส ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขายแพะแกะในพระวิหารเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และเจ็บปวดกับโรมที่เข้ามากดขี่ ผู้คนจากกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นจูเดีย จึงแห่แหนพากันไปฟังยอห์น ทั้ง ๆ ที่ ยอห์น ดำเนินชีวิตอย่างนักพรต สมถะ รับประทานจักจั่นและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร ใส่เสื้อผ้าขนอูฐ ใช้หนังสัตว์คาดเอว แต่ยอห์นเป็นคนดี ตรงไปตรงมา พูดอะไรโผงผาง ขวานผ่าซาก นักธรรมที่ดีแต่ปาก ไม่เคยดึงดูดใจคนได้เท่ากับคนที่พูดจริง ทำจริง นี่เป็นเหตุที่ผู้คนศรัทธายอห์นยิ่งกว่า บรรดาปุโรหิต และฟาริสี
อันดรูว์ และยอห์น สองหนุ่มชาวประมงเข้ามาเป็นศิษย์ของยอห์น ทั้งสองไม่เพียงแต่แสวงหาพระผู้ช่วย แต่เขาตื่นเต้น กับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ เมื่อยอห์น ผู้ให้บัพติสมา ที่ตนศรัทธา จุดประกายให้ทราบว่า ตนเป็นแค่ผู้เตรียมทางให้พระองค์ “ภายหลังจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมา มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก” (มาระโก 1: 7) ลองคิดดูซิว่า อันดรูว์จะตื่นเต้นแค่ไหน ไม่มีใครลงทุนลงแรงกับสิ่งไร้ราคา แต่ถ้าเขาอ่านออกว่า นี่คือ คำตอบ นี่คือของจริง เขาไม่เพียงแต่ใฝ่ฝัน แต่เขาจะทุ่มเทไขว่คว้าและตื่นเต้นด้วย วันนี้ เราอ่านออก หรือเปล่าว่า “พระคริสต์คือทางรอดของเรา”

 

2. ต้องสัมผัสด้วยตนเอง
วันที่พระเยซูเสด็จมา เพื่อรับบัพติสมาจากยอห์น ทั้งสองอาจได้เห็นภาพท้องฟ้าแหวกออก พระวิญญาณบริสุทธิ์สัณฐานเหมือนนกพิราบ ลงมาสู่พระองค์ ทั้งมีพระสุรเสียงชัดเจนจากฟ้าสวรรค์ “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มาระโก 1:9-11) วันรุ่งขึ้น ยอห์นแนะนำพวกเขาอีกว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ยกความผิดบาปของโลกไปเสีย”( ยอห์น 1:29) ทั้งรับรองว่าผู้ที่ตนกล่าวขานมาตลอด ด้วยความมั่นใจยอห์นชี้แนะให้ผู้ฟังรู้ว่า “พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” ( ยอห์น 1:34) ก็เป็นอันว่าชัดเจนแล้ว “พระเยซู ผู้นี้ คือ พระคริสต์”


ฝูงคนที่ฟังยอห์นที่ฝั่งน้ำจอร์แดน อาจพยักหน้า รับทราบ เอ โค รู้แล้ว แล้วก็จบลงแค่นั้น
แต่อันดรูว์ และยอห์น ยังไม่จบครับ เขาต้องติดตามไปให้รู้จริงเห็นจัง เขาต้องได้สัมภาษณ์ ได้สัมผัส ได้พูดคุย ซัก ถาม ไปเห็นที่หลับที่นอน ทั้งสองจึงติดตามพระองค์ไป พระเยซูทรงเหลียวกลับมา ถามเขาว่า “ท่านหาอะไร” ทั้งสองทูลพระองค์ว่า”รับบี ท่านอยู่ที่ไหน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไป และเห็นที่ที่พระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาได้พักอยู่กับพระองค์” พระเยซูไม่เคยปิดบังซ่อนเร้น จากคนที่กระหาย อยากรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองเสมอ (ยอห์น 1:37-39) คนไทยมีภาษิต “สิบปากว่า ไม่เท่าสองตาเห็น สองตาเห็น ยังไม่เท่ามือคลำ” วันนี้มีคนไม่น้อย ได้ยินว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าดี พระเยซูเป็นพระผู้ช่วย ตามคำบอกเล่า แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เขาจึงมิได้รับพระพรใด ๆ ต่างจากอันดรูว์ และยอห์น การรู้จักพระเยซูเป็นส่วนตัว และมีประสบการณ์กับพระองค์คือชีวิตใหม่ของผู้เชื่อทุกคน ถึงวันนี้ มีคนเข้ามาที่โบสถ์ไม่น้อย ทราบข่าวเรื่องพระเยซูจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งนับว่าดียิ่ง แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ ที่สำคัญ เราแต่ละคนต้องมีประสบการณ์กับพระเยซูเป็นส่วนตัว พระองค์คือใคร สำหรับท่าน ท่านต้องรู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัวให้ได้

 

 

3. นำคนใกล้ชิด มาหาพระองค์
“แล้วอันดรูว์ ก็ไปหาซีโมน พี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า”เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว” อันดรูว์ จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู ( ยอห์น 1:41-42 ) ถ้าเราไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า เราจะเล่าให้คนอื่นฟังได้อย่างไร คำบอกเล่าของเรา คงจะจืดชืดเย็นชา เหมือนท่องตำรามาพูด ไร้ชีวิตชีวา ไร้พลัง ไม่อาจนำใครมาหาพระเจ้าได้ การพบพระเจ้าเป็นส่วนตัว พระองค์ช่วยให้ท่านหายโรค เลิกเหล้ายาปลาปิ้ง มีสุข ความหวาดกลัวหายไป มีสันติสุข ความชื่นชมยินดีล้นพ้น รักคนที่ไม่น่ารักได้ อภัยคนผิดได้ มีกำลังขึ้นชนะอบายมุขที่เคยพ่ายแพ้ อย่างนี้ ย่อมง่ายที่เราจะเป็นพยานให้คนอื่นฟัง แน่นอน ความตื่นเต้นกับพระองค์ ทำให้เราไม่ได้เก็บอมพงำไว้แต่เพียงผู้เดียว


อันดรูว์ ตื่นเต้น และบุคคลแรกที่เขาบอกให้ทราบก็คือ ซีโมน พี่ชายที่เขาหาปลาด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน นอนด้วยกัน คุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกัน ทั้งเคยถกเรื่องพระเมสสิยาห์มาด้วยกัน ถ้าอันดรูว์ไม่ไปบอกให้พี่ชายรู้ก็แปลก วันนี้ เราเป็นอย่างอันดรูว์หรือเปล่า เราเป็นคริสเตียนคนเดียวในครอบครัว พบพระเจ้าแล้ว แต่เงียบสนิท ไม่ปริปากเล่าเรื่องพระองค์ให้คนที่เรารักฟังเลยหรือ พระเยซูตรัสว่า ไม่มีใครที่จุดตะเกียงแล้ว เอาถังครอบไว้ เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ในเมื่อตะเกียงเราสว่าง จะไปปิดบังทำไม เว้นแต่ตะเกียงเราดับ เราจึงเอาถังครอบ คนจะได้ไม่รู้ว่าตะเกียงดับหรือไม่ อันดรูว์ตื่นเต้น จนเก็บไว้ไม่อยู่ เราตื่นเต้นในพระคริสต์จนบอกให้คนที่เรารักทราบหรือเปล่า ผมพูดมาแต่ต้นว่า คนยิวตอนนั้นพบทุกข์ผิดหวังกับทุกสังคมรอบตัว เขารอพระผู้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์เขา วันนั้น อันดรูว์พบพระผู้ช่วย อันดรูว์รู้ว่า คนต้องการผู้ช่วย ถ้าเขาไม่บอก ก็นับว่าใจจืดใจดำเต็มที แล้วเราล่ะ ?

4. ขันอาสารับใช้พระองค์
พระองค์ทรงตั้งศิษย์ 12 คนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อใช้เขาไปประกาศและให้มีอำนาจขับผีออกได้ ( มาระโก3:14-15 ) อัครทูต 12 คนนั้นมีชื่อดังนี้ “คนแรกชื่อซีโมน ที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์ น้องของเขา ……...” (มัทธิว 10:2)
หลายคนสมัยนั้น เป็นมวลชนที่มาฟังพระเยซูเทศนา สั่งสอน รับการบำบัดรักษาโรค บางครั้งพระองค์เลี้ยงพวกเขาด้วยอาหาร ก็แค่นั้น แต่สำหรับอันดรูว์ เขาพร้อมถวายชีวิตเพื่อขยายพระราชกิจของพระองค์ งานที่จะช่วยผู้คน เป็นงานใหญ่เกินกว่า ที่พระเยซู จะทำด้วยพระองค์แต่ผู้เดียว พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้คนที่แห่แหนกันมา นับแต่ผู้ชายมีประมาณ 5,000 คน เกินพระกำลัง พระองค์จึงตรัสว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นให้เราอ้อนวอนพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาส่งคนงานมาเก็บพืชผลของพระองค์” พระองค์ต้องการคนงาน บางคนอาจตั้งคำถามว่า ต้องเข้ามารับใช้อย่างอันดรูว์หรือ ถ้าถามแอนดรูว์ ผมรู้ว่า อันดรูว์จะตอบว่าอย่างไร “ไม่ใช่ต้อง..ด้วยหรือ” แต่มันเป็นสิทธิพิเศษ เป็นเกียรติ เป็นโอกาสอันประเสริฐ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

 


5. พร้อมรับใช้ อยู่เบื้องหลัง
มีคนพูดว่า 10 อันดรูว์ ยังไม่เท่า 1 เปโตร สูตรนี้เขาคงตั้งขึ้นมาเอง แต่ผมพอเข้าใจ ว่าหมายความอย่างไร ตั้งแต่อันดรูว์พาซีโมน พี่ชายของตนมาพบพระเยซู พระองค์ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เกฟา หรือ เปโตร ที่แปลว่าศิลาแล้ว เปโตรก็เป็นพระเอก ตลอดทั้งเรื่อง เปโตรมีความเป็นหัวหน้า อยู่ในตัว พูดเร็ว คิดเร็ว ทำอะไรก่อนใคร แม้พลาดไปบ้าง จนท้ายที่สุด เปโตรก็คือเสาหลักของคริสตจักรรุ่นแรก ที่พระเยซูก็ทรงแต่งตั้ง เมื่อพระเยซูเลือกสาวก 3 คนให้เป็นสาวกใกล้ชิดพระองค์ สามคนนั้น คือ เปโตร ยอห์น และ ยากอบ เขาพลาดแม้แต่ จะได้เป็นสาวกวงใน ทั้ง ๆ ที่เขาคือสาวกคนแรก แต่อันดรูว์ ไม่มีร่องรอยของความขมขื่นแม้แต่น้อย เขามีความสุขเสียด้วย
เขาคงเรียนรู้เรื่องนี้มาจากยอห์น ผู้ให้บัพติสมา “ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละ คือเจ้าบ่าว สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงเจ้าบ่าว ฉะนั้น ความปิติยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมแล้ว พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (ยอห์น 3: 29-30) อันดรูว์มิได้เป็นพระเอกอย่างเปโตร แต่ไม่มีเขา ก็คงไม่มีเปโตร อันดรูว์เป็นแบบอย่างความถ่อมใจ อันน่ายกย่องที่สุด

6. นำเด็กมาหาพระเยซู
(ยอห์น 6:8-9) วันนั้นเย็นมากแล้ว ที่ทศบุรี ถิ่นทุรกันดาร ผู้คนที่มาฟังพระเยซูเทศนาสั่งสอน มืดฟ้ามัวดิน นับแต่ผู้ชาย ได้ประมาณ 5,000 คน ถ้านับผู้หญิงด้วยก็มากกว่าหมื่นแน่นอน พวกเขาหิวไม่มีอาหารรับประทาน จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะตกเย็นแล้ว พระองค์สั่งให้สาวกเลี้ยงพวกเขา ฟิลิปทูลพระเยซูว่า “มีเงิน 200 เดนาริอัน ก็ไม่พอเลี้ยงอาหารพวกเขาคนละเล็กละน้อย” คณะของพระเยซูคงมีเงินแค่นั้น เกินกำลัง เกินปัญญาของคน แต่อันดรูว์ หลังจากไปสำรวจ ฝูงชนแล้ว มากราบทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กคนหนึ่ง มีขนมบารลี 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แต่จะพออะไรกับคนมากอย่างนี้” แล้ววันนั้น พระเยซูก็ทรงทำการอัศจรรย์ เลี้ยงคนเหล่านั้นด้วยขนมปัง และปลาจากหนูน้อยคนนั้น อันดรูว์เป็นคนหยิบยื่น สิ่งเล็กน้อย ให้พระเยซูทำการใหญ่

7 นำคนต่างชาติมาหาพระเยซู
(ยอห์น 12:20-22) ในวันอาทิตย์ใบปาล์ม มีคนต่างชาติกลุ่มหนึ่งมาร่วมเทศกาลปัศคา ที่เยรูซาเล็ม พวกเขาคงเคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู อยากพบพระองค์ จึงพากันไปหาฟิลิป บอกว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู” ฟิลิป ไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงไปบอกอันดรูว์ แล้วฟิลิปและอันดรูว์ไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสถึงอนาคตอันสำคัญ “ถึงเวลาแล้ว ที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกในดินและเปื่อยเน่าไป ก็คงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว จะงอกขึ้นเกิดผลมาก” อันหมายถึงการวายพระชนม์ของพระองค์ จะเป็นเหตุให้มีผู้เชื่อจำนวนมาก ไม่เพียงแต่คนยิวเท่านั้น แต่คนต่างชาติจำนวนมหึมาด้วย


การนำคนที่ดูเหมือนเล็กน้อย มาหาพระเยซู ของอันดรูว์ เป็นจุดสำคัญ ส่งเสริมพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทุกครั้งไป
เขาพร้อมเป็นสะพาน ให้พระเยซูกระทำสิ่งยิ่งใหญ่ อันดรูว์เชื่อว่าใครก็ตาม เมื่อได้พบพระเยซูแล้ว พระองค์จะเปลี่ยนให้เกิดสิ่งใหญ่โตได้เสมอ แม้เขาจะแลไปไม่เห็นทั้งหมด แต่เขาเชื่อ การนำ ซีโมน หนูน้อยที่มีขนมปังห้าก้อนปลาสองตัว และกลุ่มคนต่างชาติ มาหาพระเยซู อันดรูว์ไม่ได้เชื่อในสมองเท่านั้น เขาลงมือประสานให้คนเหล่านี้พบพระเยซู แล้วการใหญ่ก็เกิดทุกครั้งไป วันนี้ เราพร้อมเป็นสาวกอย่างอันดรูว์หรือเปล่า


ไม่ค่อยมีใครทราบว่าอันดรูว์ ตายอย่างไร เขาเป็นสาวกที่ถูกตรึงตายที่กางเขน ที่เมืองเพทรา ประเทศกรีซ ด้วยความจงรักภักดีต่อพระคริสต์ เช่นเดียวกับเปโตร ที่ถูกตรึงที่กางเขน แต่ด้วยสำนึกว่า ไม่สมควรที่ตนจะถูกตรึงอย่างเดียวกับพระเยซู เปโตรขอให้ทหารเอาไม้วางเขนโดยการปักหัวไม้กางเขนลง ส่วนอันดรูว์สำนึกเช่นเดียวกัน ด้วยใจยกย่องพระคริสต์ ขอให้ทหารตรึงเขาที่กางเขนเป็นูรูปตัวเอ็ก หรือเครื่องหมายคูณ


ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 



Visitor 192

 อ่านบทความย้อนหลัง