พระเจ้าสอนผมเรื่องการประกาศ

ศบ.

 

 วันนี้เป็นวันครบรอบ 49  ปีของคริสตจักร  เราตั้งใจจะจัดงานพิเศษเมื่อครบ 50 ปี สำหรับปีนี้ผมก็ขอชี้แจงว่าพระเจ้าหล่อหลอมให้  เรารักงานประกาศพระกิตติคุณอย่างไร  

 

1.  คริสตจักรเราเริ่มด้วยการสอนพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ 

 

     สามัคคีธรรมกรุงเทพ เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 1969 ที่บ้านเช่าของ อาจารย์เออร์บาน วอง และ อาจารย์ โรเบิร์ท นิชิโมะโตะ (อาจารย์บอบบี้) ที่ปากซอย สุขุมวิท 59 (หน้าท้องฟ้าจำลอง) ครอบครัวของท่านทั้งสองท่าน  ตั้งใจจะเปิดคริสตจักรไทยที่มีความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เริ่มครั้งแรก  ก็มี 4 ครอบครัว  ผู้มาร่วมนมัสการอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นเพื่อนมิชชั่นนารี จำนวนสมาชิกประมาณ 20 คน  อาจารย์ใช้วิธีประกาศ โดยการสอนพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ  โดยต้องการให้ครูได้ผูกพันกับนักเรียน และนำเขามาถึงพระเยซู  

 

      โดยความเชื่อ ในปี 1974  คริสตจักรซื้อที่ดิน สร้างอาคารโบสถ์ และย้ายมาอยู่ที่ซอยอ่อนนุช 24  (สถานที่ตั้งคริสตจักรปัจจุบัน) การสอนพระคัมภีร์เป็นภาษาอังกฤษยังได้ทำต่อมา แม้ที่ซอยอ่อนนุช  ขณะมีที่ดินเปล่าๆ ยังไม่ได้สร้างโบสถ์  อาจารย์บอบบี้ จัดกางเต็นท์บนที่ดินในซอยอ่อนนุช   เชิญอาจารย์สมานมาเทศนา  อธิษฐานรักษาโรค


                            

 

2.   โรงเรียนสอนการประกาศ

 

       ผมเข้ามาเป็นสมาชิกคริสตจักร เมื่อโบสถ์ที่หน้าท้องฟ้าจำลองเปิดมาได้  3 เดือน  ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทเลอเปอร์ตีต์  ที่บางนา ทำงานเป็นผู้แทนขายยาของบริษัทแอสตร้า ช่วงที่สร้างโบสถ์ในซอยอ่อนนุช  ปี 1974  ผมไปเรียนพระคัมภีร์ในโรงเรียนสอนการประกาศ  (School of Evangelism) ของคณะวายแวม ที่โลซาน  สวิสเซอร์แลนด์  กลับมาเมืองไทย โบสถ์ที่ซอยอ่อนนุชสร้างเสร็จแล้ว  ผมตัดสินใจไม่กลับไปทำงานบริษัทอีก แต่จะรับใช้  เป็นผู้ช่วยอาจารย์บอบบี้  ผมมีความรู้เรื่องคริสตจักรจากโรงเรียนของวายแวมน้อย  เพราะโรงเรียนสอนเรื่องการสร้างสาวก และการประกาศเป็นส่วนใหญ่    ผมเรียนรู้เรื่องคริสตจักรส่วนมากจากอาจารย์บอบบี้   เป็นภาคปฏิบัติ 

 

3.   พี่เขยชอบการประกาศ

 

       ย้อนอดีตหน่อยนึง ผมมีพื้นความรู้เรื่องคริสตจักร จากครอบครัว บ้านที่นคร  เพราะพี่เขย คืออาจารย์เสริญ  เป็นศิษยาภิบาล ผมชื่นชอบอาจารย์ เสริญ  พี่เขย  เรื่องการอยากรับใช้ เคยได้ยินว่า ตอนเป็นหนุ่ม ท่านเรียนจบโรงเรียนพระคัมภีร์ที่ขอนแก่น มีเงินพกติดกระเป๋าไม่มาก   หิ้วกระเป๋าใบเดียวไปเช่าบ้านอยู่ที่เกาะสมุย  ทุกวันออกไปประกาศ พยายามนำคนมาเชื่อพระเยซู  ทำอย่างนั้นจนเงินหมด เมื่อไม่มีเงินซื้ออาหาร ท่านก็ถือศีลอด  อธิษฐาน สามวันไม่ออกไปไหน มีเพื่อนบ้านสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ซุกตัวอยู่ในบ้าน จึงมาเคาะประตู ถามว่า “พ่อหนุ่ม  ดิฉัน สังเกตว่าช่วงนี้ไม่เห็นพ่อหนุ่มออกไปไหน ๆ อย่างทุกวัน  ดิฉัน อยากจะบอกมาตั้งหลายวันแล้วว่า  พ่อหนุ่มไม่ต้องไป  หาอาหารกินที่ไหนหรอกน่ะ มากินอาหารที่บ้านเราดีกว่า” จากนั้นพี่เสริญ  ก็มีเสบียง เหมือนการจัดเตรียมจากพระเจ้า  ให้ประกาศต่อไปได้  ฟังแล้ว ผมชอบมาก   

 

 4.  ครอบครัวเราชอบประกาศ

 

       ขอเล่าย้อนอดีตต่อ ที่นคร อาจารย์เสริญ คุณพ่อคุณแม่ ท่านร้อนรนในการประกาศ เราชอบไปประกาศที่ตลาดนัด  ผู้ประกาศที่เป็นผู้ช่วยพี่เสริญ เช่น นายแมง นายพริ้ง  เป็นคนพูดเก่ง ผมเคยไปร่วมประกาศด้วยที่ตลาดนัดหัวถนน  ตลาดนัดยวนแหล  ตอนเช้ามืด ชาวบ้านจะเอาของมาขาย มีพืชผัก ขนม ผลไม้  เนื้อ ปลา ฯลฯ ทีมประกาศสมัยนั้น  ไม่มีดนตรีเล่น   มีม้วนภาพหัวใจของเด็กชายปั๊ก ที่มีรูปสิงสาราสัตว์อยู่ในหัวใจดำมืด กางออกอธิบายให้ชาวบ้านฟัง ว่ากันทื่อ ๆ ไม่มีเครื่องขยายเสียง  มีแต่โทรโข่งที่ใช้ถ่านไฟฉาย เสียงออกแหลมๆ หน่อย บางที ก็นำพระคัมภีร์เล่มเล็ก ๆ ที่ทำเป็นชุด  ชุดละ 3 เล่ม  มี มาระโก ลูกา สุภาษิต ขายชุดละบาทเดียว  ส่วนใบปลิวแจกฟรี  เรื่องความรอด ก็พิมพ์บน กระดาษชั้นเลว สีมอซอ  ไม่มีสีสัน ไม่มีรูปภาพอะไร ที่บ้านของเรา พวกผู้ประกาศจากกรุงเทพฯ  ไปเยี่ยมเราก็จะ  เอาหนังสือเหล่านี้มาฝาก กองไว้เป็นหีบ ๆ ที่บ้านจึงมีห้องเก็บหนังสือ ใบปลิวเหล่านี้   

 

         ผมไปยืนมองผู้ประกาศ ไม่ค่อยมีคนสนใจ ไม่เคยเห็นใครรับเชื่อ มีแต่ถูกชาวบ้านแซวว่าขายชาติ “ทำไมเป็นคนไทยจึงไปเข้าคริสต์ “ ผมเคยแจกใบปลิว  คนรับแล้วฉีกทิ้งเสียก็มาก  เคยคิดว่า  นำคนไทยมาเชื่อพระเจ้า มันยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา  อดชื่นชมผู้ประกาศเหล่านี้ไม่ได้  ที่เขาไม่ย่อท้อ ในการเผยแพร่พระกิตติคุณ 

 

         ผลที่ผมเห็นตามมา  คือ  การเปิดสถานที่ประชุมหลายแห่ง เช่น ที่ ปากพนัง ชะเมา นอกท่า บ้านตาล  สันยูง  พอวันอาทิตย์ พี่น้องเหล่านี้ก็เดินทาง พากันมาประชุมที่โบสถ์นคร  

 

5.  อาจารย์พา สมาชิกออกประกาศ

 

         เมื่อมาทำงานกับอาจารย์บอบบี้  ท่านก็พาผมออกไปประกาศหลายครั้ง ที่ก้นซอยสุขุมวิท 49  ซอยกลาง (แถวบ้านอาจารย์สุชาติ ) แถวคลองเตย  อาจารย์เขาเล่น แอคคอเดียน  เด็ก ๆ มาฟังกันเยอะ  ส่วนผู้ใหญ่ไม่ค่อยมี 

 

6.   ส่งผมไปช่วยงานคริสตจักรหนองปรือ


                               

 

 อาจารย์อยากให้ผมได้สัมผัสงานพันธกิจ  ตอนนั้น  คุณน้าแย้ม คุณพ่อของอาจารย์ประพันธ์ โนใหม่  ท่านมีโบสถ์เล็ก ๆ อยู่ที่หนองปรือ  หลังค่ายทหารสุรนารี โคราช  ท่านให้ผมเดินทางไปเยี่ยมคุณน้า ไปพักค้างคืนที่บ้านของท่าน  ผมไปที่นั้นหลายครั้ง  ครอบครัวคุณน้าแย้มยากจน  บ้านท่านไม่มีเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น  หน้าหนาว ผ้าห่มเสื้อหนาวก็ไม่พอ  ชาวบ้านใช้วิธีลงมาผิงไฟ  ผมรู้จักน้องบุญภพ  น้องชายของอาจารย์ประพันธ์ที่นั่น ต่อมาคริสตจักรสามัคคีธรรมก็รับน้องเขามาเป็นผู้ประกาศ ที่โบสถ์  น้องบุญภพมาพักกับผมและหยุย ที่บ้านเราประมาณ ปีหนึ่ง  บุญภพ เล่นก็ต้าร์เก่ง  ช่วยผมเวลาไปประชุมกลุ่มเซลล์ได้มาก 

 

7.   ผมไปเป็นล่ามให้  เคลวิน         

           

       ทีมวายแวมในอดีต ก็เป็นแรงสำคัญในการสอนเราเรื่องการประกาศ ก่อนผมไปเรียนพระคัมภีร์ที่สวิสซ์  ทีมวายแวมเคยมาประกาศในกรุงเทพฯ เขาเป็นฝรั่งทั้งทีม พูดไทยไม่ได้ แหม่มแอน และแหม่มคริสตีน มิชชั่นนารีชาวนิวซีแลนด์ มาถามหาคนที่จะเป็นล่ามให้หนุ่มสาวเหล่านี้ ผมขันอาสาไปเป็นล่ามให้ พระเจ้าทรงนำดีเหลือเกิน คู่ที่ไปกับผมคืออาจารย์เคลวิน สไตเนอร์  เคลวินเป็นนักนำวิญญาณจริง ๆ เขาสอนผมมาก เราออกไปตามแฟลตต่าง ๆ แถวดินแดง  ในช่วงสองเดือนเรานำหนุ่มสาวมาเชื่อพระเยซู ประมาณ 7-8 คน  ผมตื่นเต้นมาก  เพราะมันเป็นการทลายความคิดว่า นำวิญญาณคนไทยยากเหมือนเข็นครก

 

 8   ไปร่วมประกาศในมหาวิทยาลัย  กับทีมวายแวม 

 

      เมื่อทำงานที่คริสตจักรช่วงแรก ๆ มีทีมวายแวมจากหลายที่มาประกาศในเมืองไทย และคริสตจักรของเราก็รับทีมเหล่านี้   พาเขาไปประกาศที่ ม.รามบ้าง ที่ วิทยาเขต ลาดกระบังบ้าง ที่วิทยาลัยเกริก และอีกหลาย ๆที่ มาจากญี่ปุ่น ฮ่องกง ฟิลิปิน  สิงคโปร์  และมาเลย์  พี่น้องโบสถ์เราสมัยนั้น ก็ซึมซับเรื่องการออกไปเล่นละครข้างถนน และเป็นพยาน

 

9.  พันธกิจที่นครนายก

 

      ในปี 1977  มีมิชชั่นนารี สองคน คือ แหม่มโคราลี และแหม่มเบฟเวอลี จากเมืองเพิร์ท ออสเตรเลียตะวันตก มาร่วมรับใช้กับเรา ทั้งสองถูกส่งมาจาก  ชิโลห์ เฟส ไบเบิล เซนเตอร์  แหม่มเบฟ  ถนัดทำงานกับอนุชนสาว ๆ ในคริสตจักร ส่วนแหม่มโคราลี  คริสตจักรสามัคคีธรรมส่งไปทำพันธกิจจุดแรกที่ ตัวเมืองนครนายก โดยรับนักศึกษาพระคัมภีร์จบใหม่  สองคนจากพระคริสตธรรม สุราษฎร์  คือน้องมานิต  และน้องขจร ทั้งสองไปร่วมทำงานกับแหม่มด้วย  ทั้งหมดไปเช่าบ้าน  และห้องประชุมที่นั่น   ก่อนหน้านั้น เคยมีมิชชั่นนารีแบบติสท์  ทำงานที่นครนายก 7 ปี  เมื่อท่านย้ายออกไป  นครนายกจึงไม่มีโบสถ์เลย มีครอบครัวผู้เชื่อดั้งเดิมอยู่ที่นั่น 3 ครอบครัว ถ้าอยากนมัสการก็ต้องเข้ามาประชุมที่กรุงเทพ  พอเราไปเปิดโบสถ์เขาก็ดีใจ  ผมได้พาทีม วายแวมที่แวะเวียนมาเมืองไทย  ไปประกาศเสริมหลายครั้ง เราทำงานที่นั่นประมาณ 2 ปี เมื่อมิชชั่นารีกลับบ้าน น้อง ๆ เขาถอยออกมา  งานที่นั่นจึงปิดลงโดยปริยาย  

 

           ที่ผมเล่ามาให้ฟัง เพื่ออยากจะบอกว่า ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้นำในอดีตทั้งหลาย  ที่หว่านเมล็ดพืชของการทำพันธกิจ ลงในใจของผม  มองดูเหมือน ความพยายามที่ทำไป  ไม่ได้อะไรมาสักเท่าไร แต่มันก็มีค่ามาก การอยากช่วยคน  การอยากนำพี่น้องชาวไทยที่ไม่รู้จักพระเจ้า  ให้พบพระองค์ไม่ใช่ง่าย  แต่เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า

 

     10.  ยกทีมออกไปประกาศ ข้างถนนใน กทม. 

 

           ในปี 1990  เราประกาศในกรุงเทพฯ  กันอย่างครึกครื้น  เราออกกันไปทุกวันศุกร์  ออกไปประกาศ เป็นพยานที่  ขนส่ง ขสมก. ลาดพร้าว บางเขน ดอนเมือง รังสิต  บางกะปิ  สำโรง  บางนา บางพลี  ทั้งเล่นกีตาร์ข้างถนน แสดงละคร  ลิเก วางมือรักษาโรค  ตั้งเวที เล่นดนตรี  ที่แฟลตคลองจั่น  เสนานิคม บางครั้งทีมเรามีถึง 40 คน  ใช้รถกระบะขนพี่น้องไปถึง 4 คัน

 

     11.  สู่พันธกิจอีกที ที่กบินทร์บุรี


                          

 

 ในปี  1992  เป็นปีแรกที่เราทำพันธกิจอีกครั้ง เราเริ่มออกไปที่กบินทร์บุรีเป็นครั้งแรก 

 

           และนี่คือจุดเริ่มต้นของพันธกิจครั้งใหม่  จุดอ่อนที่เราพบที่นครนายก  เราไม่ควรให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก นั่นคือ   (1) การมุ่งนำคนมาเชื่อก่อน มีอาคารเป็นหลักเป็นฐาน  และ (2) การมีผู้เลี้ยงที่ตั้งใจอยู่กับลูกแกะตลอดไป (3)  คริสตจักรต้องออกไปประกาศ    

 

            นอกจากนั้นพระเจ้ายังสอนผมว่า  การเพิ่มพูนคริสตจักรเหมือนธารน้ำไหล  โขดหินมิอาจกั้นทางน้ำ  หากเจอหินก้อนโตขวางกั้น   ธารน้ำก็จะเบี่ยงออกข้าง  เพื่อไหลต่อไป  วิธีที่ไม่เกิดผล  ไม่ได้ทำให้การเผยแพร่หยุดชะงัก ตรงกันข้าม  กลับเป็นหนทางให้เผยแพรกว้างขวางยิ่งขึ้น ที่สำคัญคนต้องได้รับการช่วยให้รอด  การประกาศต้องเพิ่มพูน  

 

           ก่อนจบผมขอนำกร้าฟ  การเพิ่มพูนคริสตจักรตั้งแต่ปี 1969  ถึงปัจจุบันมาให้ดู   

 

          ขอพระเจ้าอวยพรครับ 


                       

 

กลุ่มเซลล์ เริ่มจริงจังตั้งแต่ปี  1985

 
              

 

พันธกิจ  เริ่มมาตั้งแต่   1992


               



Visitor 93

 อ่านบทความย้อนหลัง