รักตัวเขา

ศบ.

 

ผมเคยนั่งลงพินิจพิเคราะห์ว่า  คนที่เป็นเศรษฐี  มีทรัพย์สิ่งของสารพัดพร้อมมูล  มักมีเพื่อนฝูงรอบตัวมากมาย  แต่เขากลับหาเพื่อนแท้ไม่ง่ายนัก  เมื่อไปกินเลี้ยง  เขาคือคนควักกระเป๋า  พอใครมีทุกข์ เขาคือคนที่ใครๆก็เหล่ตามอง    เขาสามารถเปลี่ยนปัญหาที่เพื่อนๆ คนอื่นแก้ไม่ตก ให้หายไปในฉับพลัน   คนในสังคมมักยกย่อง  โค้งคำนับเขา  ในเมืองไทยเรา  แม้เป็นเศรษฐีเพราะการโกงกิน  ก็ยังมีคนจำนวนมากพินอบพิเทา  ซึ่งลึกๆในใจของเศรษฐีท่านนั้น  ท่านก็อ่านออกคนเหล่านั้นเข้ามาหาเขาเพราะอะไร   ยามที่เขาทำผิด  ก็ไม่มีใครตักเตือนท้วงติง  เพราะหนี้บุญคุณค้ำคอ  เมื่อเขาพูดอะไร  ใครๆ ก็เออออห่อหมกตามไปด้วยสิ้น  เขาจึงอยู่ในโลกที่ค่อนข้างว้าเหว่   คนไทยมีภาษิตว่า “เพื่อนกินหาง่าย  เพื่อนตายหายาก”  โคลงกระทู้อีกบทหนึ่งว่า “มีเงินนับเป็นน้อง  มีทองนับเป็นพี่” มีคนเพิ่มให้ว่า “ยากจนเงินทองน้องพี่ไม่มี”

 

                     มี     คนพูดแซ่ซ้อง               สรรเสริญ

                  เงิน     ย่อมชักชวนเชิญ             เชิดชี้

                   นับ     เป็นญาติจนเกิน              การก่อ เกิดแฮ

                  น้อง    ชื่อนั้นยายชื่อนี้               โน่นโน้นเนื่องมา

                     มี     ผู้มานอบน้อม                นับถือ

                  ทอง    ล่อให้เล่าลือ                  เชิดหน้า

                   นับ    ญาติเนื่องมาคือ              เคียงชิด สนิทแฮ

                     พี่    และลุงน้าป้า                  ป่ายเปื้อนปนปลอม

 

                แน่นอนใช่ว่า เพื่อนทุกคนจะหวังผลประโยชน์จากเขาไปเสียทั้งหมด แต่เขาก็คัดกรองเพื่อนแท้ไม่ได้ง่ายๆ เขาจะต้องใช้สติปัญญาอย่างมากเพื่อเสาะหาเพื่อนตาย  หาคนที่รักเขาจริง  เพราะแรงดึงดูดให้คนเข้ามาเป็นเพื่อนอาจอยู่ที่เงินทองของเขาไม่ใช่ตัวเขา

 

          คนที่มีพ่อแม่ร่ำรวย นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง  ยิ่งเขาเรียนหนังสือเก่ง  มีอาชีพการงานที่มั่นคง ทำท่าจะเป็นอาเสี่ย  ยังแถมมีทรัพย์สินของพ่อแม่ก้อนมหึมาแบ็กอัพอยู่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นฉากบังความเป็นตัวตนของเขา เวลาเขาจะมีแฟน  ชายหรือหญิงที่มีตาแหลมคมเท่านั้น  จึงจะมองทะลุกองเงินกองทอง  เข้าไปเห็นตัวจริงของเขาและรักเขา

  

          ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือตำแหน่งก็เช่นเดียวกัน  มีอำนาจในการสร้างมิตร  ตอนที่กษัตริย์ดาวิดถูกอับซาโลม เข้าไปยึดอำนาจ  พระองค์ต้องหลบหนี  ระหกระเหินออกจากพระราชวัง   ชิเมอี  ออกมาก่นด่า เอาหินขว้าง ขับไล่พระองค์ “เจ้าคนกระหายเลือด เจ้าคนถ่อย จงไปเสียให้พ้น” (2 ซามูเอล 16:7)  เมื่อมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่  คนก็ให้เกียรติเข้ามาหา  พอตกอับ คนก็หายหัวไปหมด ยิ่งตกระกำลำบาก  ก็ยิ่งยากที่มีใครมาเหลียวแล ผู้หญิงที่เลือกคู่ครองเพราะเขาเป็นคนมีหน้ามีตา  มีตำแหน่งสูง วันหนึ่งเขาตกงาน  หมดน้ำยาหาเงินทอง  เธอยังจะมีรักให้เขาหรือ 

   

           ผมเคยสังเกตว่า  ผู้หญิงสวยหุ่นดีจากเวทีนางงาม  มีเสน่ห์  หาแฟนไม่ยาก  แต่หาคนรักแท้ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน   ตอนเธออยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน เพื่อนๆรอบตัวเธอดูขี้ริ้วขี้เหร่ไปหมด เมื่อเทียบเคียงกับความงามของเธอ  แน่นอนผู้ชายทั้งหลายมองเธอตาเป็นมัน ใครๆก็ชอบคนสวย ชื่นคนหน้าตาดี ในงานโฆษณาสบู่ ยาสระผม  ยาสีฟัน น้ำหอม เครื่องสำอาง  และแม้แต่โฆษณารถยนต์ ไม่มีบริษัทไหนเลือกคนหน้าตาพื้นๆ  ไร้เสน่ห์ไปเป็นนางแบบโฆษณา เพราะจะทำให้โฆษณาของเขาไม่ดึงดูดคนดู สินค้าเขาจะขายไม่ออก แต่เขานิยมเลือกผู้หญิงหน้าตาดีหุ่นดีทั้งสิ้น  ผู้หญิงสวยเปรียบ


                           

 

 

เหมือนดอกไม้  ที่ดึงดูดผีเสื้อมาดมดอม  แต่ที่ผมลงความเห็นว่าเธอหารักแท้ไม่ง่าย เพราะสิ่งที่ดึงดูดผู้ชายให้มาหลงรักเธอ ก็คือความงาม ที่ไม่ยั่งยืน  และมันไม่ใช่ตัวของเธอ  

 

                ความทุกข์ยาก ตกต่ำ คือเครื่องพิสูจน์รักแท้ 

 

                ถ้าสุภาพบุรุษรูปหล่อ  มั่งคั่ง  มีความรู้ดี มีความสามารถสูง  คนหนึ่งจะเลือกหญิงสาวที่รักเขาจริงสักคนหนึ่ง  เขาจะทำอย่างไร  เขาจะเอาความมั่งคั่ง  ฐานะ  วุฒิการศึกษามาเป็นสิ่งล่อใจผู้หญิงหรือ   อย่างนี้เขาจะพบรักแท้ได้หรือ   นี่จึงเป็นต้นตอของบทละครมากมาย ที่พระเอกสลัดความมั่งคั่ง  ยอมตัวเป็นคนยากจน  ค่นแค้น เข้าไปใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้าน  เพื่อหาเนื้อคู่แท้ๆ ของเขา เช่น  เรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ  ที่คนกรุงติดกันงอมแงมเมื่อสองปีก่อน   ไม่มีใครอยากได้คนที่รักเขา เพราะความเป็นมหาเศรษฐี เพราะฐานะดี มีเงินทองมาก  เพราะรูปโฉม  หรือเพราะยศฐาบรรดาศักดิ์  แต่ทุกคนปรารถนารักแท้   ที่สลัดเปลือกนอกเหล่านี้ออกไปทั้งหมด 

 

                ทำไมพระบุตรจึงเข้ามาสู่โลกอย่างคนต่ำต้อย

 

                    

 

เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลก  พระองค์จึงมิได้มาอย่างพระราชา อย่างพระเจ้า แต่มาอย่างคนสามัญ  คนโดยทั่วไปรู้จักพระเยซูว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ ลูกช่างไม้  ยากจน “นกในอากาศยังมีรัง สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่วางศีรษะ” พระองค์ทรงเติบโตขึ้นอย่างเด็กทั่วไป เรียนหนังสือที่ธรรมศาลา ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน พระองค์มีคำสอนที่ไม่เหมือนใคร  มีความสามารถรักษาความเจ็บไข้  ขับผี ฯลฯ  คนที่มารักศรัทธาในพระองค์  คือ คนที่แลเห็นพระลักษณะแท้ของพระองค์ เมื่อพระองค์เลี้ยง คน 5,000 คน ด้วยขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว คนอยากมาแต่งตั้งให้พระองค์เป็นกษัตริย์ ซึ่งพระองค์ทราบดีว่า พวกเขาติดใจอาหาร  อิ่มท้อง ไม่ใช่พระองค์  วันหนึ่งเมื่อพระองค์ถูกจับ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  คนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน  นี่เป็นเวลาทดสอบความรัก  ว่าเมื่อไร้ทรัพย์ ไร้รูป ไร้ยศ ไร้เกียรติ ไร้ทุกสิ่ง  เขายังรักศรัทธาในพระองค์หรือ   

 

              รักแท้รักตัวแท้ๆ มิใช่สิ่งอื่น  ผมเคยเห็นผู้หญิงสาวที่เจ็บป่วย นอนรอความตาย ที่ไม่มีใครไปเยี่ยมเขาเป็นเดือนๆ แม้แต่คนเดียว เมื่อเราที่เป็นคริสเตียนไปเยี่ยมเขา เขาถามเราว่า “เราเป็นใคร”  ผมเคยเห็นภรรยาที่ทิ้งสามีไปเพราะ เขาเป็นอัมพาต   และผมก็เคยเห็นสามีที่ทิ้งภรรยาไปมีภรรยาน้อย  เพราะเธอแก่ตัวลง  ความงามในอดีตของเธอจางหายไป  เดี๋ยวนี้เธองามสู้สาว เอ๊าะๆ รุ่นๆไม่ได้เสียแล้ว  สามีมองเธอว่า “เก่าๆก็เป็นสนิม  ใหม่ๆน่าตาจุ๋มจิ่ม”  จึงมีคำถามว่า  เขารักอะไรกันแน่  ความรักที่เรามีต่อพระเยซูก็เช่นเดียวกัน  เรารักพระองค์เพราะอะไร  ผมฝากบทกลอนนี้ให้พิจารณา

 

                        สร้างคนเหมือนสร้างตึก      หรือวิหาร

              จักต้องมีรากฐาน                         เพื่อให้

              สิ่งปลูกสร้างอาคาร                      ยึดติด

              ชีวิตเขาจักได้                              แข็งกล้าสง่างาม

 

                        เราจะวางรากด้วย               สิ่งใด

                กรวดหินดินหรือไม้                      เหล็กเส้น

               จักพิสูจน์ได้ด้วยไฟ                      พาพัด

               มรสุมซัดคัดเค้น                          รอดได้เพราะฐานดี

 

                       บางคนเชื่อพระเจ้า              เพราะสนุก

               ร้องเพลงผ่อนคลายทุกข์               ค่ำเช้า

               รายการใดใจสุข                           ก็ชื่น

               พบทุกข์รุกหนักเข้า                       เท่านั้นพลันหนี

 

                     บ้างวางชีพไว้ที่                      บุคคล

               พี่เลี้ยงคือสรณะตน                       ที่ตั้ง

               ชื่นชอบท่านเสียจน                       คลั่งไคล้

               พอพี่พลาดตนพลั้ง                        ดรั้งพยุงคืน

 

                     บางคนยืนได้เพราะ                 พระพร

               ได้รับเป็นขั้นตอน                         ตื่นเต้น

               “คำตอบ” เหมือนฟืนป้อน               ไฟติด

               ฟืนหมดพรว่างเว้น                        ก็ท้อถดถอย

 

                     ฝูงชนเคยติดต้อย                    พระอาจารย์

               ติดใจเลี้ยงอาหาร                         อิ่มแปล้

               ปรารถนาพระองค์ท่าน                   เป็นกษัตริย์

               ทรงมอบอาหารแท้                        แสยะหน้าลาจร

 

                    เมื่อเราก่อให้ยึด                      พระเยซู

               พระองค์คือพระครู                        ช่างปั้น

               สายตาจ้องมองดู                          รักพระองค์เทอญ

               พายุพัดตัดกั้น                             ไปยั้งหยุดเจริญ  

 


                   

 

ท่านทราบไหมว่า มารไม่เชื่อว่า ท่านเชื่อพระเจ้าหรือรักพระเจ้า โดยไม่หวังพระพรใดๆ มันเชื่อว่าที่ท่านบอกว่ารักศรัทธาพระองค์วันนี้ก็เพราะ พระเจ้าอวยพรท่าน  มันถามพระเจ้าว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆหรือ  พระองค์มิได้ทรงกั้นรั้วรอบคตัวเขา และครัวเรือนของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ พระองค์มิทรงอำนวยพระพรงานน้ำมือของเขา และฝูงสัตว์ของเขา และฝูงสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์เถิด และแตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ และเขาจะแช่งพระองค์  ต่อพระพักตร์พระองค์” (โยบ1:10-11) วันนี้  มันยังไม่เชื่อท่าน  มันยังฟ้องพระเจ้า  

             

          อย่าลืมน่ะครับ  เราต้องรักพระองค์  มิใช่เพราะสิ่งใดๆทั้งสิ้น  แต่เพราะพระองค์คือที่รักที่เราสัมพันธ์ด้วย    

 

 



Visitor 72

 อ่านบทความย้อนหลัง