เก้าคนหายไปไหน ไม่กลับมาสรรเสริญ

 

 

 

ศ.บ

 

ในช่วงวิกฤติโควิด 19  เดือนนี้นอกจากเป็นเดือนที่เราจัดวันแม่แล้ว  ยังเป็นเดือนแห่งการขอบพระคุณด้วย ผมจึงขอพูดเรื่องการขอบพระคุณพระเจ้า 

 

               

(ลูกา 17:11-19)

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ผมสังเกตเห็นว่า   แม้คน  2 คนได้รับพระพรจากพระเจ้ามากพอ ๆ กัน แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองจะรู้สึกสำนึกถึงพระคุณเท่ากัน คนหนึ่งรู้สึก “งั้น ๆ” ในขณะที่อีกคนหนึ่งสำนึกถึงพระคุณมากล้นพ้นตัว  ในความเป็นจริง  คนเราเกิดมาในโลก ต่างก็ได้รับสิ่งดีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้อย่างล้ำเลิศ เหมือนกันหมด  เมื่อเรากลับใจเข้ามาเชื่อพระองค์ รับการไถ่โทษบาป  เราก็ได้รับพระเมตตาอันใหญ่หลวงเหมือนกันหมด  แต่เราสำนึกถึงพระกรุณาธิคุณแตกต่างกัน ถามว่า อย่างไหนดีกว่ากัน  

 

 

แน่นอน  บุคคลผู้รู้คุณพระเจ้า ย่อมใช้ชีวิตถูกต้อง  เป็นสุข  และเป็นที่ชอบพระทัย  โฮเชอา บัลลู กล่าวว่า “ถ้าบรรดาลูก ๆ สมควรกตัญญูรู้คุณพ่อแม่องตนในโลก ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่เรา ผู้บังเกิดในครอบครัวใหญ่สมควรสำนึกพระมหากรุณาธิคูณพระบิดาในสวรรค์  ตรงกันข้าม  เรากลับสมควรมีใจกตัญญูต่อรักของพระองค์ วิลเลียม เชคเปียร์ กล่าวว่า “อย่ายอมให้วันคืนอันมีค่า  ผ่านพ้นไปโดยเรามิได้  สำนึกว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไรแก่เราบ้าง” คนโรคเรื้อน 10 คน หายโรค มีคนเดียวกลับมาขอบพระคุณ

 

 

 

 ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จเข้าหมู่บ้านหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย  พระองค์ทรงรักษาคนโรคเรื้อน 10 คนหายโรคพร้อมกันในคราวเดียว โดยสั่งให้เขาไปสำแดงตัวกับพวกปุโรหิต เหมือนการไปขอใบรับรองจากแพทย์ว่า หายโรคแล้ว ขณะเดินทางไป พวกเขาก็หายสะอาดหมดทุกคน 

 

 

ตามเรื่อง มีโรคเรื้อนชาวสะมาเรียคนเดียวเท่านั้นที่กลับมา สรรเสริญพระเจ้า กราบขอบพระคุณพระเยซู   พระเยซูตรัสว่า มี 10 หายโรคเรื้อนมิใช่หรือ 9 คนหายไปไหน ไม่เห็นกลับมาขอบพระคุณ  

           

                   

เมื่อพระคริสต์เสด็จใกล้     เยรีโค

โรคเรื้อนสิบคนโซ      ร่ำร้อง

เราทุกข์หนักอักโข     โปรดเมตตาเทอญ

พระองค์ทรงจับจ้อง    เขาด้วยสงสาร

            

 

พระองค์รับสั่งให้               ไปหา

ปุโรหิตตรวจกายา              ถี่ถ้วน

จิตคิดมั่นศรัทธา               แน่วแน่

 โรคเรื้อนทุกคนล้วน         รับถ้อยกระทำตาม

 

 

 กลางทางคนโรคเรื้อน         เดินไป

 สิ่งอัศจรรย์เกิดใน              บัดนั้น

 ผิวพรรณผุดผ่องใส           เยี่ยงเด็ก

 ทุกคนปลื้มสุดกลั้น            รู้ว่าตนหาย

 

 

 โรคเรื้อนเพียงหนึ่งผู้            กลับมา

 สรรเสริญโมทนา                 กึกก้อง

 กราบตรงพระบาทา             พระคริสต์

 เพราะกตัญญูจึ่งร้อง          กู่ก้องขอบพระคุณ

 

 

 พระเยซูรู้ว่า                         มีสิบ คนหาย

 บัท  แวร์  อาร์ โดส ไนน์         เล เปอร์

 (But where are those nine la pers)

 ไม่มีใครมาถวาย                   พระเกียรติ

 ฤาใจฟุ้งจิตเฟ้อ                    พลั่งคิดลืมพระคุณ

 

 

ทุกครั้งคราวพระเจ้า             ค้ำจุน

อย่าได้ลืมพระคุณ               มากล้น

ละเลยพระการุณย์               เหมือนเก้า คนนา

ดั่งดื่มน้ำพลาดต้น               แหล่งน้ำอิ่มไฉน

 

 

 

 

 

ถามว่า   ทำไม 9 คนนั้นจึงไม่กลับมาโมทนาพระคุณพระเจ้า  

  

 

(1) เรามีสิทธิ จึงขอทวงสิทธิ 

    

             เรามีดีอะไรหรือ ที่พระเจ้าสมควรช่วยเหลือเรา เรามิหลงทะนงตัวไปแล้วหรือ โรคเรื้อนเก้าคนนั้นคงคิดว่า  “พวกเขาเป็นยิว และพระเยซูคือผู้รับใช้ชาวยิวที่พระเจ้าส่งมาทำการกับชาวยิว เขาจึงสมควรได้ “สิทธิแห่งการหายโรค” 

            ระวังน่ะครับ ความคิดอย่างนี้อาจเกิดกับเรา พาให้เราเฉยเมยต่อพระคุณ  ผมเป็นลูกหลานคริสเตียน ผมจึงพิเศษกว่าคนอื่น  พ่อแม่ฉันเป็นผู้รับใช่ หรือ เราเป็นพงศ์พันธุ์แห่งพระสัญญา (โรม 9:4)  แล้วเราก็เอาสิ่งเหล่านี้มาทวงสิทธิ์จากพระเจ้า  วิลเลี่ยม  พี คิง  กล่าวว่า “ “กตัญญูรู้คุณ” (Gratitude) มีรากศัพท์มาจากคำ “พระคุณ” (Grace) ซึ่งหมายถึง พระกรุณา อันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตขอบพระเจ้า พระคุณ (Grace) ยังแปลว่า สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราเปล่า ๆ  ทั้ง ๆ ที่เราไม่สมควรได้รับ 

 

 

 

 

  (2) เราคิดว่า เราได้รับเพราะเราตามเงื่อนไข

 

แน่นอน  การหายโรคของพวกเขา เกิดจาก การมาอ้อนวอนพระเยซู  เกิดจากการเชื่อฟังพระดำรัสสั่งให้  ไปหาปุโรหิต ตั้งแต่มือเท้ายังหงิกยังงออยู่  เกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา แล้วพวกเขาก็หายโรคจริง ๆ จากนั้น เขาก็ภาคภูมิใจว่าเขาต่างจากคนอื่น  ที่ไร้ความเชื่อ ที่ขาดศรัทธา  ผลของการหายโรคเป็นเพราะตัวเขา เป็นเพราะตัวเขาปฏิบัติตามเงื่อนไข  เขาอาจภาคภูมิใจในการเชื่อฟังของตน  “สมควรแล้วที่เขาหายโรค”  เจ้านายคนหนึ่ง เห็นว่าท่านยากจนข้นแค้น ไม่มีจะกิน จึงเขียนเช็คใบหนึ่งให้ท่านไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  คนอื่นรับเช็คแล้วอาจไม่มั่นใจ จึงเก็บเช็คใบนั้นไว้    แต่ท่านมั่นใจ ท่านไปธนาคาร ไปเบิกเงิน ได้เงินมา แล้วท่านก็ยินดีปรีด์เปรม คุยโวว่าท่านได้เงินเพราะท่าน เชื่อในเช็คใบนั้น  นำไปเล่าให้ลูกหลานฟังว่าท่านมีศรัทธาแค่ไหน  จบแค่นั้นหรือครับ  ท่านลืมเจ้านายผู้เมตตา มอบเช็คให้ท่านหรือเปล่า คริสเตียนต่างชาติ อาจต่างกับยิวตรงนี้  เปาโลว่าอย่าทะนงตัว (โรม 11:18) 

 

 

      (3) ไม่สำนึกว่าพระเมตตานั้น เป็นเรื่องส่วนตัว   

 

              อีกประการหนึ่ง โรคเรื้อนชาวยิว 9 คน อาจคิดว่าเขาได้รับการช่วย “แบบบำบัดหมู่”พวกเขาอาจรู้สึกเป็นหนี้พระเยซูบ้างเหมือนกัน แต่เป็นแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น มิใช่เรื่องส่วนตัวอะไร” คิดดังนี้แล้ว ก็ไม่มีแรงพลังพอจะกลับไปขอบคุณพระองค์  ในโบสถ์ของเรามีบ่อยครั้ง ที่พี่เขาพาพวกเราไปกินเลี้ยงในภัตตาคารหรู  อาหารชั้นเลิศ  นั่งกันหลายโต๊ะ นับคนที่ไปทานเลี้ยงบางครั้งก็ร่วม 70-80 คน  ตอนจ่ายเงิน พี่เขาเป็นคน จ่ายเงิน  ครับ  เงินส่วนตัวจากกระเป๋าเขาล้วน ๆ  เขาเลี้ยงเพราะเขารักพวกเรา  แต่ มีกี่ครั้งที่เราอาจเดินออกมาจากร้านอาหาร โดยไม่ได้ขอบคุณพี่เขาสักคำ  ถามว่าทำไมไม่ขอบคุณเขา  บางทีเพราะเราอาจคิดว่า นี่เป็นบุญคุณแบบเจือจาง(ศัพท์ของผมเอง)  เราเป็นแค่ 1 ใน 70 ถ้าเขาเลี้ยงเราคนเดียวซิ  เราจะต้องขอบคุณ เพราะถือว่าทำกับเราส่วนตัว แต่นี่คือ พระคุณหมู่  เรากับพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  เราอาจทำให้พระเมตตาหมดน้ำหนักลงไป  เป็นคุณความดีอันเบาหวิวของพระเจ้า  ตรงกันข้ามกับ คนโรคเรื้อนชาวสะมาเรีย  ความจริง เขาเป็น 1 ใน 10 ที่หายโรคเช่นเดียวกัน  แต่เขาไม่คิดอย่าง  9 คนนั้น  เขาคิดว่า พระเยซูรักเขาเป็นส่วนตัว  

 

 

 

      (4)  ตื่นเต้นกับพระพร จนลืมผู้ให้

 

โรคเรื้อนทั้ง 10 คน มองดูผิวพรรณใหม่ของตนเอง อดตื่นเต้นไม่ได้ มันช่างสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา นิ้วมือนิ้วเท้า ข้อแขน หูหนา ตาเหรือ ที่อัปลักษณ์ กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่ดูดีไปหมด ตรวจเช็คกับปุโรหิตแล้ว ก็ผ่านหมด ได้คะแนนเต็มร้อย ส่องมองกระจก ก็เห็นความหล่อเหลาของตนเอง นี่คือความใฝ่ฝันที่โหยหา วันนี้ได้รับมาเต็ม ๆ  มองไปข้างหน้า นี่คือชีวิตใหม่ โลกใหม่ แสงสว่างอันเจิดจ้า กำลังรอเราอยู่ จากวันนี้ เราจะไปที่ไหน  สิ่งที่พวกเขาคิดถึง  คือ พบคนในครอบครัว พบปะญาติพี่น้อง  คนในหมู่บ้าน คนเหล่านี้เห็นเขาต้องพลอยตื่นเต้นไป ด้วย  แล้วพวกเขาก็ลืมพระเยซูผู้บำบัดพวกเขาสนิท ปลื้มพระพรจนลืม ผู้ประทานพร

 

     วันนี้  เราได้รับพระพรจากพระเจ้า ชื่นมืนกับสิ่งที่ทรงประทานให้เรา เราบรรยายถึงชายหาดสีขาว คลื่นซัดสาด น้ำตกพลิ้ว ธารน้ำไหลเย็น แลเห็นตัวปลา ภูผาลำเนาไพร แมกไม้ กลิ่นพฤกษานานาพรรณ เมฆหมอก เกล็ดน้ำค้างยามเช้า เสียงนกร้องประสานเสียง ดอกกล้วยไม้ หลากสี  ชะนีห้อยโหน เถาวัลย์ระย้า เราตื่นเต้นกับผลไม้เอร็ดอร่อยนานาชนิด  เก็บผลได้ก็ติด แบรนด์บรรจุลงในลังไปขาย ตั้งชื่อว่า “ส้มสีทอง” ผลิตโดย “ไร่ของเรียม”  ราวกับเราคือผู้ผลิตมันขึ้นมาเอง ลองนั่งลงคิด แล้วเราจะมีเรื่องขอบพระคุณ       

      

 

1.ลองคิดถึงอดีต 

             ย้อนคิดชีวิตหนหลัง  เราก็จะมีเรื่องขอบพระคุณมากมาย  กษัตริย์ดาวิด  ขอบพระคุณพระเจ้าทุกเรื่อง  คิดถึงตอนที่ถูกกษัตริย์ซาอูลไล่ล่าเอาชีวิต  แค่พลาดพลั้งนิดเดียวพระองค์ก็จะถูกสังหาร พระองค์ทรงตระหนักว่า  พระเจ้าคือพระศิลา โล่ ป้อมปราการ (2 ซามูเอล 22:2) ดาวิดก้าวจากการเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ในท้องทุ่งขึ้นมาเป็นกษัตริย์   ฟังความรู้สึกของพระองค์ซิ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงแค่นี้” (2 ซามูเอล 7:18) คนไทยเราเตือนกันว่า อย่าเป็น “คนลืมตัว เหมือนวัวลืมตีน” คือ อย่าเย่อหยิ่ง และลืมที่มาของตนเอง  

 

 

 

 

2. คิดถึงปัจจุบัน

 

         บ่อยครั้งที่เราไม่มีคำขอบพระคุณ  ก็เพราะเราคิดว่า  ตนควรยังไม่มีนั่นไม่มีนี่ และมองข้ามสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้แล้วในปัจจุบัน  ไอ คิว เอ็ม  กล่าวว่า “ถ้าคุณมีสุขภาพดี สายตาปกติ สมองสั่งการได้ แขนขาก็ยังทำงานได้ คุณมี 4 สิ่งที่เป็นเหตุให้คุณขอบพระคุณสำหรับการใช้ชีวิตในโลกนี้ นี่คือเสาหลัก 4 ต้นแห่งพระพร” แล้วเราเคยได้ขอบพระคุณสำหรับสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า หรือต้องรอให้พิการเสียก่อน จึงจะคิดออก  วันที่เช่าบ้านก็ต้องขอบคุณสำหรับ บ้านเช่า  ไม่ใช่ขมขื่น  วันที่พักในคอนโด ก็ควรโมทนาพระคุณที่มีบ้านของตัวเอง ไม่ใช่บ่นเรื่องการขึ้น

 

ลิฟท์ลงบันได  พอมาอยู่ทาวเฮาท์ ก็ควรขอบพระคุณที่มีที่จอดรถในบ้าน หรือหน้าบ้านตนเองได้  ไม่ใช่ฉุนเฉียวที่ต้องใช้ผนังบ้านร่วมกับเพื่อนบ้าน  คิดให้ดี เรามีเรืองจะขอบคุณไปหมด  ที่ไม่มีก็เพราะไม่คิด  หรือคิดทางลบ  ฝรั่งเขาว่า “บางคนบ่นต่อว่าพระเจ้าว่าทำไมจึงเอาหนามมาไว้ที่ดอกกุหลาบ ในขณะที่อีกคนหนึ่งขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงวางดอกกุหลาบไว้ในหนาม” คิดถึงสิ่งที่ท่านมี คิดบวก แล้วท่านจะมีเรื่องขอบพระคุณทุกวัน แท้จริงคำ “ขอบคุณ” ก็มีรากศัพท์มาจาก คำว่า “ครุ่นคิด” ดังนั้นการคิด ก็คือการขอบคุณ ชาร์ล เจฟเฟอร์สัน กล่าวว่า “ความกตัญญูเกิดจาก  หัวใจที่ใช้เวลาในการนับพระกรุณาในอดีต”   

 

3. คิดถึงอนาคต

 

          เรื่องนี้ผมชอบ โรเบิร์ท ชูเลอร์  ท่านมักพูดถึงโอกาสในอนาคตเสมอ   เมื่อเราเข้าไปในหมู่บ้านหนึ่ง  มี 1 ครอบครัวที่เชื่อพระเจ้า ที่เหลืออีก 9 ครอบครัวยังไม่เชื่อ แทนที่เราจะบ่น  ว่าทำไมมีแค่ครอบครัวเดียวที่รับเชื่อ  เราควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสแห่งการประกาศพระกิตติคุณ  เพราะเราจะได้ทำงานกับอีก  9 ครอบครัวอย่างสนุกสนาน  ผม เคยไปทุ่งสงตอนไฟไหม้  มันไหม้เกือบหมดทั้งตลาดทุ่งสงเลยทีเดียว  น่าเศร้า  แต่ตอนนั้นมีใครคิดบ้างไหมว่า นี่คือโอกาสของการสร้างเมืองใหม่ในอำเภอทุ่งสง  คิดให้ดี  คิดบวก  แล้วเราจะมีเรื่องขอบพระคุณสำหรับอนาคตเสมอ  พระเยซูทรงชมเชย และเพิ่มพระพรแก่ผู้สำนึกพระคุณ

 

 

 

           ถ้าเราเรียนขอบพระคุณสำหรับอดีตและปัจจุบัน พระเจ้าก็จะนำเราไปสู่พระพรในอนาคต  โรเบิร์ท เฮอร์ริค  กล่าวว่า “การขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งแรก เป็นการเชื้อเชิญให้พระเจ้าประทานสิ่งที่สองให้เรา” ปกติคนเรา ถ้าให้อะไรใครแล้วเขาไม่รู้จักขอบคุณ ก็ย่อมขาดกำลังใจที่จะให้เขาอีก เมื่อเราใคร่ครวญ คิด เราจะขอบพระคุณเสมอ แล้วพระเจ้าจะอวยพระพรสิ่งใหม่ๆมาให้อีก  คนโรคเรื้อนชาวสะมาเรีย ได้รับคำชมเชยจากพระเยซู  ยิ่งกว่านั้น เขาได้มากกว่าการหายโรค คือ เขาบังเกิดใหม่ เขามีสัมพันธภาพใหม่กับพระเยซู เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้ตัวเจ้าหายปกติ”  นี่ไม่ใช่หายโรคเรื้อน  เพราะเขาสะอาดแล้ว  แต่นี่คือชีวิตใหม่ที่ 9 คนไม่ได้รับ 

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ 


Visitor 190

 อ่านบทความย้อนหลัง