พ่อผู้ให้อภัย

 

 

 

 

วันพ่อปีนี้  ผมขอนำคำพยานของ รูธ เกรแฮม ลูกสาวคนที่ 3 ของท่านพูดถึง คุณพ่อของท่าน ในวันไว้อาลัย เมื่อ 3 ปีที่แล้ว


     รูธ เล่าว่า เธอเป็นลูกคนที่ 3 ในลูก 5 คนของ บิลลี่ เกรแฮม ตอนเป็นเด็ก อายุ 7 ขวบ เธอได้มอบชีวิตจิตใจให้พระเยซู “ดิฉันคุกเข่าลงที่ข้างเตียงนอน กับคุณแม่ ตอนอายุ 11 ขวบ ดิฉันออกไปรับเชื่อหน้าที่ประชุม ในประชุมฟื้นฟูที่โบสถ์ ซึ่งจัดโดยเพื่อนของคุณพ่อ และคุณพ่อก็ออกไปพร้อมกับดิฉัน”


     รูธ เล่าว่า
      เมื่ออายุ 15 ปี เธอจากบ้านไปอยู่โรงเรียนประจำ ในนิวยอร์ค “ที่นั่นดิฉัน เป็นโรคเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติ และดิฉันแย่มาก ๆ” เธอโดดเดี่ยว มาก รู้สึกว่าโลกนี้ มีแต่ตัวเธอกับพระเจ้าเท่านั้น “ดิฉันต้องวางใจพระเจ้าด้วยตนเอง ตั้งแต่บัดนั้น ดิฉันมิได้พึ่งความเชื่อของพ่อ หรือแม่อีก แต่เป็นความเชื่อของดิฉันเองเท่านั้น”
     เธอไม่ได้เกเรอย่างวัยรุ่นทั้งหลาย ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเสพยา ในช่วงปี 1960-1970 เธอมิได้เข้าไปร่วมกับกลุ่มฮิบปี้ ที่ซานฟรานซีสโก


     เธอเรียนในวิทยาลัย แต่งงานและมีลูก แต่ในปี 1990 โลกของเธอล่มสลาย เมื่อพบว่าสามีนอกใจ หลังจากแต่งานมา 18 ปี เธอรู้สึกสับสน เธอไปหาที่ปรึกษาเป็นเดือน ๆ ก่อนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่กี่เดือนหลังการหย่าร้าง เธอแต่งงานใหม่ แต่ภายใน 24 ชั่วโมงเธอก็พบว่าเธอผิดพลาด ปั่นป่วน เธอขนข้าวของกลับบ้าน คุณพ่อยกโทษเธอ


   ตอนอายุ 40 ปี เธอตกอยู่ในสภาพวิกฤติทั้งจิตใจและร่างกาย เธอยอมรับว่า เธอเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามตามทางพระเจ้า แต่เรื่องกลับแย่ลง
   “ฉันคิดว่าฉันทำทุกอย่างสมบูรณ์ เป็นภรรยาที่ดี แม่ที่ดี กระตือรือร้นในคริสตจักร เรียนพระคัมภีร์ ทำไม่พระเจ้าไม่ดูแลดิฉัน” พวกลู ก ๆ ก็มีปัญหา

 


      รูธ แก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
     ทำไมเธอจึงพบกองไฟอย่างนี้ เดียวนี้เธอมีคำตอบแล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาให้เธอเผชิญสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อจะสอนให้เธอเข้าใจความยากลำบากแห่งชีวิต บอกให้ทราบว่า ไม่มีใครเลี่ยงความทุกข์ยากลำบาก เราต่างต้องเผชิญกันทั้งนั้น

 


      เราต่างพบสิ่งที่เรามิได้อยากพบ  ให้เราอดทน
   “มันคือส่วนหนึ่ง แห่งแผนการของพระเจ้า ดิฉันไม่อยากพบ และคงไม่มีใครอยากพบ”“แต่สำคัญมากสำหรับดิฉัน ในการมีประสบการณ์เช่นนี้ เพื่อจะเติบโตขึ้น เรื่องยังไม่จบ ฉันยังจะต้องเติบโตต่อไป”
พระเจ้าทรงประทานพระคุณ และพระเจ้ามิเคยลืมพระสัญญา “พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ แม้ในยามที่ดิฉันไม่ได้สัตย์ซื่อ    ชีวิตที่ดิฉันดำเนินนั้น ก็ตามพระคุณของพระองค์ค่ะ”       ต่อไปนี้ เป็นคำพยาน ในงานวันไว้อาลัย ดร. บิลลี่ เกรแฮม   คุณพ่อผู้ให้อภัย

 


      รูธ เกรแฮม
      เล่าเรื่องของเธอกับคุณพ่อ ในวันงานไว้อาลัย การจากไปของบิลลี่ เกรแฮม
     ดิฉันอยากบอกขอบคุณ ทุก ๆ คนที่มาร่วมงานวันนี้ ทั้งท่านที่นั่งในเต็นท์ จนถึงทุกท่านที่นั่งข้างหน้าค่ะ เราสำนึกว่าเป็นพระพร และขอขอบคุณที่ท่านอยู่ที่นี่ ดิฉันเรียนรู้ในสัปดาห์นี้ว่า แต่ละคนมีเรื่องของบิลลี่ เกรแฮมมาเล่ามากมาย และในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังเล่าเรื่องของบิลลี่ เกรแฮม ว่า ตอนท่านเป็นเด็ก คุณพ่อของท่านพาท่านไปที่สเตเดียมของทหาร ฟังคุณพ่อของดิฉันเทศนา แล้วไง! หลายคนทราบว่าเป็นอย่างไรในเวลาต่อมา แต่ดิฉันก็มีเรื่องเล่าของบิลลี่ เกรแฮมเช่นเดียวกัน หลายคนอาจได้เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วบ้าง แต่ดิฉันขอเล่าอีกครั้ง เพราะสำหรับตัวเองแล้ว มันเป็นการบอกเล่าว่าคุณพ่อของดิฉัน
เป็นอย่างไร หลังจากผ่านไป 21 ปี ชีวิตสมรสของดิฉันจบลงด้วยการหย่าร้าง ดิฉันรู้สึกอ้างว้าง ดิฉันรู้ว่า ตัวเองทำผิดมาก ๆ ดิฉันพบทางตัน ครอบครัว คิดว่าเป็นการดีที่ดิฉันจะผละออกมา และไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหน ๆ สักแห่ง ดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจย้ายไปพักอยู่ใกล้ พี่สาว และครอบครัวของเธอ อยู่ใกล้คริสตจักรที่ดี เป็นคริสตจักรที่ ศบ. ช่วยหญิงม่ายได้ดี แล้วดิฉันก็ เดทกับชายคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว ลูก ๆ ไม่ชอบเขา แต่ท่านรู้ไหม เขามักคิดผิด เขาไม่รู้อะไร ดิฉันรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง คุณแม่โทรมาคุยกับดิฉัน จากซีเอเติล คุณพ่อโทรมาหาฉันจากโตเกียว เตือนดิฉันว่า ทำไมไม่รอสักหน่อย รอให้รู้จักชายคนนี้มากขึ้น พ่อและแม่ไม่เคยเป็นม่าย ทั้งคู่ไม่เคยหย่าร้าง ท่านจะรู้อะไร ดิฉันดื้อ จงใจขัดขืน และทำบาป ดิฉันแต่งงานกับชายคนนี้ในวันขึ้นปีใหม่ ในเวลาแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น ดิฉันก็รูว่า ตัวเองผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเสียแล้ว ดิฉันหนีออกไป 5 สัปดาห์ ดิฉันกลัวเขา เดี๋ยวนี้ดิฉันจะทำยังไงต่อไป ดิฉันอยากจะไปพูดกับคุณพ่อคุณแม่ ดิฉันลังเล มีคำถามมากมายเข้ามาสู่สมอง ดิฉันจะไปพูดกับคุณพ่ออย่างไร จะพูดกับแม่ยังไง แล้วจะไปพูดกับลูก ๆ อย่างไร ในความล้มเหลวเช่นนี้ ท่านคงบอกดิฉันว่า “เราเหนื่อยกับลูกแล้วน่ะ เราห้ามลูกแล้วใช่ไหม ลูกทำให้พ่อแม่ขายหน้า” ดิฉันจะบอกให้น่ะค่ะ ท่านคงไม่เข้าใจ ถ้าคุณพ่อของท่านมิใช่บิลลี่ เกรแฮม หลายคนคงรู้น่ะค่ะว่า บ้านของเราอยู่คนละฟากของภูเขา ดิฉันขับรถไปรอบ ๆ ภูเขา ตามทางที่คุณพ่อขับเป็นประจำ คุณพ่อยืนอยู่ที่นั่น รอคอยดิฉันอยู่ ดิฉันเดินลงจากรถ ท่านโอบกอดดิฉัน บอกว่า “ยินดีต้อนรับลูกกลับมาบ้าน”  ไม่ละอาย ไม่ตำหนิ ไม่ลงโทษอะไรฉัน มันเป็นความรักที่ไร้เงื่อนไข ท่านรู้น่ะค่ะ คุณพ่อท่านไม่ได้เป็นพระเจ้า แต่ท่านได้สำแดงให้ดิฉันทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นอย่างไร เมื่อเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความผิดบาปของเรา ด้วยจิตใจที่ชอกช้ำ ด้วยความล้มเหลว ด้วยความเจ็บปวดและบาดแผล พระเจ้า ตรัสว่า “ยินดีต้นรับสู่บ้านของเรา” และนี่คือสิ่งที่พระองค์เปิดโอกาสให้เรา         

 

ขอบคุณน่ะค่ะ ขอพระเจ้าอวยพระพร


Visitor 85

 อ่านบทความย้อนหลัง