ช่วยให้พ้นอันตราย

ศ.บ   

      

 

อาทิตย์ที่ผานมา ผมแบ่งปันเรื่องเป้าหมาย และทิศทางของคริสตจักร แม้เราผ่านมา 53 ปีแล้ว ผมยังมองว่า พระราชกิจของพระองค์ ต้องขยายต่อไปในประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของเรา เพราะคนตกอยู่ในอันตราย การขยายคริสตจักรขยาย ต้องประกาศพระกิตติคุณ การประกาศที่ช่วยคนได้จริง และยั่งยืน ต้องลงเอยด้วยการปลูกคริสตจักร ไม่ใช่ประกาศแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เหมือนการเล่น เบสบอล ตีแล้ววิ่ง (hit and run) ผู้เชื่อจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นภาระของใครก็ไม่รู้ การปลูกคริสตจักรท้องถิ่นต้องมี ศบ. การปั้น ศบ. ต้องสร้างคน ปั้นสาวก ปั้นตั้งแต่น้อยไปสู่ที่เขาใช้การได้  ผมยังไม่มองเห็น วิธีการใดดีกว่านี้ ที่จะช่วยคนให้พบความรอด

 

 


            นี่คือวิธีของพระเยซู
            พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกด้วยพระประสงค์อันใหญ่ยิ่ง พระองค์ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า “บุตรมนุษย์ เสด็จมาเพื่อจะเที่ยวหา และช่วยผู้ที่ หลงหายไปนั้นให้รอด” (ลูกา 18:10)  พระองค์ใช้เวลาเช้าจรดเย็น “…เทศนาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า” (มาระโก 1:15) เสด็จไปตามชายทะเล (มาระโก 1:16) เทศนาสั่งสอนบนภูเขา (มัทธิว 5:1) ในธรรมศาลา (มาระโก 1:21) ในบ้าน (มาระโก 2:1) ในเมืองและหมู่บ้าน (มัทธิว 9:35) พระองค์ไม่เพียงแต่กระทำด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่ทรงฝึกสอนสาวก และใช้เขาให้ออกไปประกาศพระกิตติคุณ (มาระโก 3:14) พระองค์ทรงเทศนา สอน ขับผี และรักษาคนป่วย (มาระโก 1:32-34) ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมอบอำนาจให้สาวกของพระองค์กระทำด้วย (ลูกา 10:9) พระองค์ตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” (มัทธิว 4:19)

 


               บางครั้งพระองค์เป็นพยานส่วนตัวกับคนคนเดียว (ยอห์น 3:1-21,4:7-26,ลูกา 19:1-10)  บางครั้งกับ 2 คน (ยอห์น 1:35-39)  บางครั้งกับฝูงชนจำนวนมาก (มาระโก 6:34)  พระองค์ตรัสว่า “เราต้องทำพระราชกิจ ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก" (ยอห์น 9:4-5) พระองค์ทรงวายพระชนม์ที่กางเขนก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อไถ่โทษผิดของคน และนำเขามาถึงความรอด (ยอห์น 3:16-17) พระเยซูทรงมอบหมายให้คริสตจักรช่วยคน

 

 

 

             เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  พระองค์มอบพระมหาบัญชาสุดท้าย ยิ่งใหญ่ที่เราต่างทราบดี นั้นคือ จงออกไปสั่งสอน ชนทุกชาติทั่วโลก ให้เขาเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมา สอนเขาสิ่งสารพัดที่พระองค์สอน ( มัทธิว 28:19-20) พระองค์ทรงตรัสสั่งให้พวกเขารอคอย รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนออกไป  ไม่มีใครยุคนั้นหลงประเด็น ไม่มีใครเผลอไปทำเรื่องอื่น เปโตรเทศน์ครั้งแรกมีคนกลับใจ 3000 คน รับบัพติสมากันครั้งใหญ่เชียว     แล้วพวกเขาก็ทำงานต่อ มีผู้เชื่อทวีขึ้นจาก 3000 คน เป็น 5000 คนนับแต่ผู้ชาย                

คริสตจักรช่วยคนฝ่าความทุกข์ยาก
                 พวกเขาไม่ได้ประกาศยามที่ทุกอย่างราบรื่น หรือเอื้ออำนวยน่ะครับ  ตรงกันข้าม  การประกาศขณะนั้น ต้องถูกต่อต้าน ข่มเหง หนักหน่วง พวกยิวขังอัครทูตในคุก กษัตริย์ เฮโรดฆ่ายากอบด้วยดาบ ล่ามโซ่เปโตรในคุกชั้นใน แต่พระเจ้าทรงช่วยเปโตรอออกมา  ต่อมา การข่มเหงหนักขึ้น สภาสูงของยิวฆ่าสเตเฟน มัคนายกของคริสตจักร แล้วก็ตามไปผูกมัด ลากคอคริสเตียนออกมาจากทุกบ้านทุกเรือนในเยรูซาเล็ม  ผมบอกให้ ไม่มีใครท้อใครถอย เขาประกาศกันหนักยิ่งขึ้น ยุคนั้น พวกเขาเผชิญ การกันดารอาหารด้วย เหมือนอย่างเราเผชิญ การระบาดของไวรัส โควิด 19 แหละครับ แต่มันก็มิใช่เป็นอะไรที่ทำให้คริสตจักรหยุดการเผยแพร่ ซี ปี เตอร์ แวคเนอร์ ประมาณว่า ตอนที่คริสเตียนต้องหนีออกจากรุงเยรูซาเล็ม คริสตจักรน่าจะมีผู้เชื่อมากถึง 25,000 คน


  พวกเขากระจัดกระจายออกไป เหมือนผึ้งแตกรัง  ผึ้งบินว่อนออกจากรังเข้าป่า เหมือนกองไฟถูกคนเอาไม้มาตี ไฟกองใหญ่ก็แตกออกไปเป็นดวงไฟเล็กๆ ยิ่งลุกลามครับ ไปที่ไหน พวกเขากระกระจัดกระจายกันประกาศพระกิตติคุณที่นั่น    

 

 

 

เราจะต้องช่วยคนให้พ้นอันตราย
                ผมเคยนั่งลงคิดเรื่องนี้บ่อย ๆ ตามที่พระคัมภีร์สอนเรา เราเชื่อกันหรือเปล่าว่า โลกที่เราอาศัยอยู่วันนี้มันสั้น พอจากโลกนี้ไปแล้วมันยาว ไม่ช้า เราจะเข้าสู่ภาคนิรันดร์กาล พระเยซูตรัสว่ามี 2 ทางเลือก เป็นหนทางนิรันดร์กาล 2 แบบ แบบหนึ่งเราจะไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์   อีกแบบหนึ่ง เราไปอยู่นอกพระองค์นิรันดร์ เราเชื่อกันหรือเปล่าว่า 2 ทางนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกเดินของคนเราเมื่ออาศัยอยู่ในโลกนี้ ( 2 โครินธ์ 5:10 ) ผู้เชื่อทั้งหลายรู้อยู่ว่าเราจะไปไหน และเรารู้ด้วยว่าคนที่ไม่เชื่อ ไปที่ไหน เราทราบ แต่พวกเขาไม่ทราบน่ะครับ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมบอกที่ประชุมว่า วันนี้คนไทยเชื่อพระเจ้ายังไม่ถึง 1 % นั้นแปลว่า ผู้ที่ยังไม่เชื่อ มีมากถึง 99 % ถูกแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะรับเชื่อ แต่ ทุกคนควรต้องรู้เรื่องความรอด พระกิตติคุณต้องประกาศไป ก่อนพระเยซูเสด็จมา ( มัทธิว 24:14 )               

 

จะช่วยคนต้องอยู่กับคน
               ตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโควิด 19 เกิดขึ้นและลุกลามไปทั่วโลก เราชิมความลำบากไม่มากก็น้อย นอกจากความลำบากเรื่องนี้แล้ว อนาคตยังจะมีสงคราม การกันดาร ความทุกข์แสนสาหัส วันนี้ มีการถกกันมากเรื่อง ความทุกข์หนักหน่วงในอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้น ว่า เราที่เป็นผู้เชื่อจะอยู่ในโลกช่วงนั้นหรือไม่ หลายคนเชื่อว่า เราจะถูกรับไปสวรรค์ก่อน เพลงฝรั่งบางเพลง เขาร้อง เราจะบินไปก่อน ( I’ll fly!) เราแต่ละคนมีเหตุผลตามข้อพระคัมภีร์ ว่าเราไม่อยู่แล้ว ไปก่อนแน่ .”บ๊าย บาย” แล้วเราก็อดอมยิ้มไม่ได้ว่า เราจะได้ไม่ต้องทุกข์แสนสาหัส อย่างที่คนที่ เหลือในโลกต้องทุกข์กัน ผมไม่ใช่นักอนาคตศาสตร์  แต่ผมนึกไม่ออกว่า พระเจ้าผู้ทรงหวงคนทุกคนในโลกจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เราบินไปก่อน แล้วปล่อยให้พวกที่เหลือพบทุกข์ โทษฐานเชื่อพระเจ้าช้า ผมชอบอ่านประวัติศาสตร์คริสตจักร และผมยืนยันได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา การที่คริสเตียนทนทุกข์ยากท่ามกลางผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ด้วยความรัก ด้วยใจที่มีสันติสุข ด้วยใจอยากช่วยเขาอย่างไม่เห็นแก่ตัว ทำให้ผู้ไม่เชื่อกลับใจมากต่อมาก เป็นเหตุให้คนเหล่านั้นมาเชื่อพระเจ้า และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่คริสตจักรในยุค 4-5 ศตวรรษแรกเพิ่มพูนขึ้นอย่างเหลือเชื่อ และเป็นเช่นนี้เรื่อยมา ตรงกันข้าม ยุคที่คริสเตียนสบาย แยกตัวมาอยู่ในอาวาส คือยุคที่คริสตจักรถดถอย พระเจ้าทรงรักแต่เราที่เชื่อพระเจ้าแล้วเท่านั้นหรือ พระองค์รีบขีดเส้นแบ่งหรือ เปาโลมิได้บอกเราหรือว่า “แท้จริง บรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง” (2 ทธ 3:12) เปาโลมิได้กล่าวหรือว่า การไปก็ประเสริฐกว่านัก แต่การอยู่ก็เพื่อจะได้ช่วยพี่น้อง ถ้าเช่นนั้น “ข้าพเจ้าตัดสินใจอยู่” (ฟป 1:23-25)

 

 

 


                เร่งรีบ แต่ไม่ ลุกลี้ลุกลน
                 วันนี้ คนไทยยังไม่รู้จักพระกิตติคุณมากเหลือเกิน แน่นอน เราคงไม่วิ่งไปบอกคนนั้นคนนี้ อย่างบ้าบิ่น หรืออย่างตัวประหลาด เราเองไม่ชอบเวลาใคร พยายามมาเปลี่ยนแปลงความคิดเรา หรือพยายามต้อนเราให้จนมุม และรับเชื่อ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเช่นเดียวกัน ตอนผมเรียนเรื่องการเป็นพยานส่วนตัวกับ ฟลอยด์ แมคคลัง ที่โลซานน์ ท่านสอนว่า การนำคนต้องฉลาด พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า คนฉลาดมีชัยต่อดวงวิญญาณหลายดวง แปลว่า เราต้องสุภาพ มีสติปัญญา มองดูจังหวะจะโคลน ว่าจะพูดกับใคร เมื่อใด เหมาะให้เขาเข้าใจพระกิตติคุณ เขาจะเห็นว่า เราเป็นคนปกติ เป็นปุถุชนธรรมดา น่ารัก มีเหตุมีผล คุยกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ บ้า ๆ บอ ๆ เจอหน้ากัน ก็จะพูดเรื่องไม้กางเขน และพระโลหิตไถ่ ท่าเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม ในใจของเราต้องเร่าร้อนด้วยไฟที่จะนำเขามาพบพระเจ้า ไม่ใช่หลงประเด็น เผลอไผล เฉยเมย เฉื่อยชา เหยาะแหยะ ที่ผมห่วงวันนี้ คือ ความเฉยเมยที่ครอบงำคริสตจักร เราง่วนอยู่กับเรื่องส่วนตัวของเรา เรื่องการพัฒนาตัวเอง เราสุขใจกับการนมัสการ เราเหล่าเป็นเรื่องดี แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่า คนที่กำลังพินาศรอบตัวเรานั้นเต็มไปหมด


               ผมฝากเพลงร้องสักเพลง “ช่วยให้พ้นอันตราย”
                  ( Rescue the Perishing )
                   ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 


Visitor 82

 อ่านบทความย้อนหลัง