คริสตมาส คือ รักที่เสียสละ

 

ศ.บ

 

 

เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​รู้จัก​พระ​คุณ​ของ​พระ​เยซู​คริสต​เจ้า​ของ​เรา​แล้ว​ว่า แม้​พระ​องค์​มั่ง​คั่ง ​พระ​องค์​ก็​ยัง​ทรง​ยอม​เป็น​คน​ยากจน เพราะ​เห็น​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​เป็น​คน​มั่ง​มี เนื่องจาก​ความ​ยากจน​ของ​พระ​องค์  ( 2 โครินธ์  8:9)

 

 

หัวใจของคริสตมาส คือ รักที่เสียสละ  เป็นรักที่ไม่ได้หวังผลกำไร   ต่างจาก ระบบของโลก ซึ่งมุ่งที่ผลประโยชน์  ปกติคนเราคิดว่า “เมื่อเราทำอะไร  แล้วเราจะได้อะไรกลับคืนมา”  “ฉันทุ่มเททำมาทั้งหมด เพื่ออะไร” ตอนผมเรียนหนังสือ มีเพลงฝรั่งเพลงหนึ่ง ชื่อว่า “คุณได้อะไร เวลาคุณตกหลุมรัก” (What do you get when you fall in love.) ขับร้องโดย แพทตี้ เพจ นักร้องสาวชื่อดังสมัยนั้น  ในเนื้อร้อง เธอก็บรรยายว่า  เธอทุ่มเทรักเขา แต่มิเห็นจะได้อะไรดีกลับมา เจ็บปวด เศร้า  เข็ดแล้ว จากนี้ไปจะไม่ขอรักใครอีกแล้ว ( I’ll never fall in love again.)  เธอคงถูกสลัดรัก  จึงผิดหวัง  รักของเธอก็สิ้นลง

 

แต่ผมเห็นว่าความรักของพระเจ้านั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิง  พระองค์ไม่เคยหักหลังใคร   และเมื่อพระองค์รักเรา แม้เราหมางเมิน พระองค์ก็ยังทรงรักเราไม่เสื่อมคลาย 

 

พระเจ้าทรงรักเรา ยิ่งกว่าพ่อรักลูก ทรงสร้างสิ่งสรรพให้เราสุขสบาย  เมื่อเราทำผิด หลงทาง ก็ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวเสด็จเข้ามาในโลก  ไถ่โทษเรา  นำเรากับมาหาพระองค์  แทนที่เราจะตอบรับ  มนุษย์กลับหันหลังให้พระองค์  ยอห์นกล่าวว่า “พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์  และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ ไม่ได้ต้อนรับพระองค์” (ยอห์น 1:11)  ถึงกระนั้น พระเจ้ายังทรงรักเรา คาดหวังว่าเรา จะกลับใจอยู่ดี   เปาโล กล่าวว่า “ความรักทนได้ทุกอย่าง  แม้เขาทำผิด ก็เชื่อว่าเขายังมีส่วนดี  ทั้งหวังว่าเขาจะดีจนได้” ( 1 คร 13:7)   “ขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า  เราได้กลับคืนดีกับพระองค์  โดยการวายพระชนม์ของพระบุตร” (โรม 5:10)

  

 

 

พระเจ้าทรงรัก  และเสียสละ โดยมิได้หวังผลประโยชน์ ตอบแทนใด ๆ  เปาโลกล่าวว่า “แม้พระเยซูมั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมจนยาก เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้มั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์”  พระองค์ทรงละสวรรค์สถาน  เสด็จเข้ามาในโลกอย่างต่ำต้อย  อย่างที่เราทราบ  ทรงบังเกิดในรางหญ้า ในคอกวัว  ไม่ใช่ในโรงพยาบาลหรูหรา ทันสมัย  ทรงเติบโตขึ้นในหมู่บ้านนาซาเร็ธ  เป็นที่รู้กันว่าไม่มีอะไรดีในเมืองนี้   พระเยซูเป็นลูกช่างไม้ยากจน  ไม่มีบ้านของตนเอง  ทรงตระเวนออกไปประกาศ เหมือนคนจรหมอนหมิ่น  ไม่มีที่ซุกหัวนอน  ต้องยืมเรือ ยืมลา ยืมห้องพัก และแม้เมื่อวายพระชนม์ ก็ใช้อุโมงค์ฝังศพของคนอื่น เสด็จออกไปประกาศเหงื่อไหลไคลย้อย ถูกต่อต้าน  ถูกจับผิด  ถูกใส่ความเท็จ  จนถูกประหารชีวิต  ทรงยอมทั้งหมดนี้ เพราะรักเรา เพื่อช่วยเราให้ลืมตาอ้าปากได้  ชุบชีวิตเราขึ้นมาใหม่   

                คริสตมาส เตือนใจให้เรารัก เสียสละอย่างพระเยซู

 

                พระเจ้าให้เราเดินตามพระเยซู  คือ รักอย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเช่นเดียวกัน   สาวกพระเยซูไม่ติดอยู่ที่เงินทอง  สมัยคริสตจักรเริ่มแรก  “คนทั้งปวงที่เชื่อนั้น ..ไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีนั้นเป็นของตน” (กิจการ 4:32)    ในความยากจน  เราสามารถช่วยคนได้ ถ้าเรารักที่จะช่วยคน   เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี  แต่ที่เรามีอยู่เราให้ท่าน” (กิจการ 3:6) เปโตรมีสิทธิอำนาจในการรักษาโรคตามพระบัญชา  ท่านจึงสั่งให้คนง่อยลุกเดิน ในพระนามพระเยซู  แล้วพระเจ้าก็รักษาคน ง่อยนั้น  เราสามารถให้  สิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้า คริสตมาส เตือนใจว่า เราจะต้องมีชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น 

 

                ท่านได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ ด้วย

 

               พระเยซูตรัสว่า “จงไปพลางประกาศพลางว่า แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว  จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย ...จงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ  อย่าหาเหรียญทองคำหรือเงิน หรือทองแดง ไว้ในไถ้ของท่าน”  (มัทธิว 10:7-9) ให้เราออกไปช่วยคนอย่างพระองค์  โดยไม่คำนึงถึงความมั่งคั่ง  พระเยซูทรงรัก เสียสละอย่างไร ให้เรารักคนอื่นอย่างเดียวกัน

 

 

 

               ผมนึกถึงตัวอย่าง มากมายที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ 

               อับราฮามที่ ละธุรกิจในเมืองเออร์ ประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสตศักราช   ท่านเชื่อฟังการทรงเรียก พาครอบครัวไปตายดาบหน้าเพื่อพระเจ้า เมื่อท่านมีอายุ 75 ปี และนี่คือจุดเริ่มต้นของประเทศอิสราเอล 

              วิลเลี่ยม แครี่  ช่างทำรองเท้า เกิดที่ นอร์ธแฮมตัน ละประเทศอังกฤษชั่วชีวิต ไปเป็นมิชชั่นนารี ยัง กัลกัตตา ประเทศอินเดีย ในปี 1786 ประกาศพระกิตติคุณ แปลพระคัมภีร์เพื่อชาวอินเดีย และตั้งโรงเรียนพระคริสตธรรม ที่ยังดำรงอยู่ถึงวันนี้

                ชาร์ล จี ฟินนี่ ตัดสินใจผละ สำนักงานทนายความ ที่เมือง แอดัมส์  นิวยอรค  สหรัฐอเมริกา ออกมาเป็นผู้ประกาศ ในปี 1822 นำผู้คนมาเชื่อพระเจ้าหลายแสนคน ในชีวิตของท่าน 

                คาร์ล กุ๊ตสลาฟ  หมอชาวเยอรมัน  และ จาคอป ทอมลิน ชาวอังกฤษ เป็นมิชชั่นนารี โปรแตสแต็นท์ 2 คนแรกละบ้านเกิดเมืองนอนของตน  เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ในปี 1828    ปลายรัชกาลที่ 3  สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชย์  ท่านประกาศโดยแจกยารักษาโรค และแปลพระคัมภีร์ พระกิตติคุณ เป็นภาษาไทย 

                แดเนียล แมคกิลวารี  เป็นมิชชั่นนารีชาวอเมริกัน จากประเทศของตน ใช้เวลาเดินทาง ทางเรือ นานถึง 100 วัน  มาถึงเมืองไทยปี 1858  ท่านนำคนไทย และคนลาว ทางภาคเหนือ มาหาพระเจ้าหลายพันคน  

                 ฮัดสัน เทเลอร์  ออกจาก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ  อ้อมแหลมกู้ดโฮป ทวีปอัฟริกา ผ่านมหาสมุทรอินเดีย และทะเลจีนใต้ ถึงเซี่ยงไฮ้  ประเทศจีน  เพื่อเป็นมิชชั่นนารี ในปี 1866  ตอนนั้นท่านมีอายุ 34 ปี  ยังหนุ่มเชียว ท่านได้นำชาวจีนมาพบพระเจ้ามากมายเหลือเกิน               

 

 

 

                  หมอ อัลเบิร์ท ชไวท์เซอร์ เก็บเงินเป็นทุน และออกเดินทางจากเยอรมัน เมื่ออายุ 38 ปี ไปยังเมือง แลมบารินี อัฟริกา เพื่อเปิดโรงพยาบาลช่วยคนท้องถิ่น ในปี 1913  และท่านอยู่ที่นั่นถึงวันอำลาโลก 

                  อาจารย์ สุข  พงศ์น้อย  ชาวเพชรบุรี  ตัดสินใจถวายตัวรับใช้พระเจ้าในปี 1925 ทั้ง ๆ ความตั้งใจเดิม ท่านต้องการเป็นหมอ เพราะอยากร่ำรวย  อาจารย์เคยมาเทศนาที่คริสตจักร สามัคคีธรรมกรุงทพ หน้าท้องฟ้าจำลอง ในปี 1969    แม่ชี เทเรซา ละประเทศไอร์แลนด์ ตั้งแต่ยังเป็นสาว อายุ 18 ปี อุทิศตนไปประกาศที่เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย ในปี 1928  เป็นสตรีตัวอย่างของงานสงเคราะห์อย่างแท้จริง

                   อาจารย์ เวอร์เนอร์ ราซินา ลูกชาวนา จากประเทศฟินแลนด์ เข้ามาเป็นมิชชั่นนารีในประเทศไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงปีเดียว  มาถึงกรุงเทพฯ ในปี 1946 ในช่วงที่ หลวงธำรง นาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี  ท่านเริ่มงานรับใช้ที่หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์  ในปี 1949  ด้วยความยากลำบาก มีผู้เชื่อเกิดขึ้นมากมาย

                   ยังมีอีกมากครับ  คนเหล่านี้ที่ผมยกมา เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่ง ของบุคคลผู้อุทิศชีวิตรับใช้พระเจ้า  เพราะรักพระเยซู รักคน อยากช่วยคน  ฝ่าความยากจน ความทุกข์ยาก  มีพระเยซูเป็นต้นแบบ ของการเสียสละ   สวนทางกับระบบโลก พระเยซูละสวรรค์ เสด็จมาในวันคริสตมาส  คริสตมาส จึงเป็น เป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละความสุขสบาย  เพื่อช่วยคนทุกข์  

 

                  ขอให้ความหมายนี้ ตราตรึงอยู่กับเราในเทศกาลนี้น่ะครับ

 


Visitor 191

 อ่านบทความย้อนหลัง