คนต้นเรือน

 

ศบ.

 

 

 

(มัทธิว 25:14-30; ลูกา 16:2)

 

ความจริงเกี่ยวกับคนต้นเรือน
พระเยซู เล่าคำอุปมา ว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เจ้านายคนหนึ่ง แบ่งเงินลงทุนให้ทาส 3 คน คนแรกให้ 50,000 บาท คนที่สอง ให้ 20,000 บาท คนที่สามให้ 10,000 บาท ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจากนั้น เจ้านายท่านนั้นก็จากไปเมืองไกล ให้คนทั้ง 3 ไปลงทุนค้าขายให้มีกำไร สองคนแรกลงทุนแล้วได้กำไรเท่าตัว แต่คนที่สาม เอาเงินฝังไว้ใต้ดิน อยู่มาช้านาน เจ้านายคนนี้ก็มาคิดบัญชีกับทาสทั้ง 3 แน่นอน เจ้านายชื่นชม ทาสดี จาก 50,000 บาท เขาได้กำไรเป็น 100,000 บาท จาก 20,000 บาท เขาได้กำไร เป็น 40,000 บาท ส่วนคนที่สาม รับเงินทุนไว้ 10,000 บาท ยังคงได้เงิน 10,000 บาท เท่าเดิม เจ้านายไม่พอใจ ต่อว่าเขาว่า เขาทั้งชั่ว และขี้เกียจ



คนต้นเรือน

 

 

 

     ทาสทั้ง 3 ที่รับทรัพย์นายไว้ลงทุน  พระคัมภีร์เรียกเขาว่า “คนต้นเรือน” 

         คนต้นเรือน คือ ใคร      คนต้นเรือน คือ   คนที่ได้รับทรัพย์จากนาย  เพื่อใช้ทรัพย์นั้นให้มีกำไร  กับงานของนาย  

         แปลความน่ะครับ

       

 พระเจ้า คือ เจ้านายผู้มอบทรัพย์    เรา คือ คนต้นเรือน ผู้รับทรัพย์มาจากพระเจ้า  ทรัพย์ที่พระเจ้ามอบให้เราได้แก่อะไร  ก็ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง   ตะลัน หรือ พรสวรรค์  ความรู้  ของประทานฝ่ายพระวิญญาณ  พระองค์ประทานให้แก่เราแต่ละคน ใช้ในช่วงเวลาหนึ่ง  ให้เรานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์  ให้เกิดกำไรงอกเงย  กับแผ่นดินของพระเจ้า 

               

 

          ทรงมอบแต่ละคนให้ตามความสามารถ

 

         ทรงประทานให้ตามความสามารถของเรา  แสดงว่า ที่มอบให้เราจะนำไปลงทุนให้เกิดกำไรนั้นเราสามารถทำได้  ทำกำไรได้ 

 

 

 

ความรู้ ตะลัน ที่แต่ละคนมีนั้น คนต้นเรือนมิอาจมาแก้ตัวว่า  ตนไร้ความสามารถ  มิทรงเรียกร้องจากเรา เกินความสามารถ  บางคน ร้องเพลงเพราะ  เล่นดนตรีเก่ง  ทำคอมพิวเตอร์เก่ง พูดเขียนได้สองภาษา อังกฤษ ไทย บางคนพูดได้มากกว่านั้นอีก  พูดได้ทั้งไทย จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ  บางคนวาดเขียนเก่ง สอนเด็กได้  เล่านิทานสนุก  บางคนแต่กลอนได้ ขับรถเป็น ซ่อมเครื่องยนต์ได้ ทำเฟสบุ๊คได้  บางคนมีความรู้พระคัมภีร์ละเอียดลออ  คริสเตียนทั้งหลาย  มีของประทานอีกชุดหนึ่ง  เช่น อภิบาลศิษย์  หนุนใจเตือนสติ  เผยแพร่ข่าวประเสริฐ  เป็นครู บริหาร  บริจาค สำแดงเมตตา และวางมือรักษาโรค  ต้อนรับแขก  เราแต่ละคนมีทรัพย์สินจำนวนหนึ่ง  ที่พระเจ้ามอบให้เรา  ทรัพย์เหล่านี้ทรงมอบให้เราใช้ตามกำลัง ความสามารถ 

 

                เพื่อเกิดกำไรในงานของพระเจ้า

 

                ทรัพย์ที่มอบให้นี้  ก็เพื่อก่อให้เกิดกำไรกับแผ่นดินของพระองค์   ให้เกิดกำไรกับ พระราชกิจของพระองค์  พระราชกิจของพระองค์ได้แก่อะไร  ได้แก่การนำคนมารู้จักพระเจ้า  ได้แก่งานคริสตจักร  ได้แก่การช่วยเหลือคนทุกข์ยาก  ได้แก่การช่วยให้ผู้เชื่อเติบโตขึ้น  

 

 

 




 ทรงให้เราใช้ให้เกิดประโยชน์กับแผ่นดินของพระองค์  มิใช่เกิดกับตัวเอง  สิ่งที่เรากำลังทำวันนี้  ช่วยเสริมแผ่นดินพระเจ้าอะไร ตรงไหน การมีเสียงดี เล่นกีตาร์เก่ง  ท่านร้องให้ใครฟัง  ใครมาหาพระเจ้า เพราะเสียงเพลงของท่านบ้าง  การอ่านภาษาอังกฤษได้  รู้ภาษาไทยดี  ท่านเก็บไว้อ่านนิยายบันเทิงใจ หรือไว้ดูหนังฟังเพลงฝรั่ง คลายเครียดของตัวของท่านเองหรือ  การนั่งคีย์ข้อความเข้าไปในเฟสบุ๊ค แต่ละวัน  ช่วยใครมารู้จักพระเจ้าได้บ้าง  ทำให้แผ่นดินพระเจ้าที่ขยายอย่างล่าช้าในประเทศไทยวันนี้   คืบหน้าขึ้นบ้างไหม  

 

                มิใช่เก็บฝังดินไว้

 

                ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แก่ท่านนี้  ไม่ใช่เก็บฝังดินเอาไว้  ฝังดินไว้ แปลว่า ไม่ได้นำไปลงทุนให้เกิดกำไรเลย เหมือนทาสคนที่รับ 10,000 บาท  เขาหลงไปหรือเปล่าว่า  นี่คือทรัพย์ของนาย ที่จะต้องงอกเงยเพื่อนาย  ทรัพย์ที่ตนถือเอาไว้ในมือนั้น  ตนหลงหรือเปล่า   หลงไปว่านี่คือ ทรัพย์ของตนเองหรือเปล่า ถึงได้เก็บดองไว้เฉย ๆ   ในขณะที่แผ่นดินของพระเจ้าเสียหาย  ท่านหนุนใจคนเก่ง  วันนี้ มีคนท้อใจอยู่ใกล้ตัวท่าน  การปิดปากเงียบ  ทำให้คนท้อ ทุกข์ทรมาน หมดเรี่ยวแรง มิได้รับการกอบกู้ใด ๆ ขึ้นมา ทั้ง ๆที่ท่านสามารถทำได้ง่ายดาย เพราะเป็นทรัพย์ที่ประทานให้ท่านตามความสามารถ ความสามารถในการหนุนใจ ที่ท่านเก็บดองไว้นั้น ไม่เรียกว่า ถูกนำไปฝังดินหรือ   

 

                ปี 1971 มีทีมวายแวมมาประกาศในกรุงเทพฯ ประมาณ 30 คน ต้องการไปเป็นพยานกับคนไทย  แต่พวกเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ ฟังไทยไม่รู้เรื่อง  แหม่มแอน ครอฟอร์ด มิชชั่นนารีชาวนิวซีแลนด์  มาที่โบสถ์ของเรา ตอนนั้นโบสถ์อยู่หน้าท้องฟ้าจำลอง  

 

ถามว่า มีใครในโบสถ์สมัครไปเป็นล่ามแปล ให้ฝรั่งเล่านี้บ้าง  ตอนนั้นผมทำงานอยู่บริษัทเลอร์เปอร์ตีต์  ผมไปขายยาตามโรงพยาบาลทำงาน จันทร์ ถึง ศุกร์  ผมมีความรู้ภาษาอังกฤษ อย่างนักศึกษาไทยทั้งหลาย คือ ฟังไม่เก่ง พูดไม่ค่อยได้ ถนัดแต่เขียนกับอ่าน  ครับ นี่คือทรัพย์ที่พระเจ้าประทานให้มา  เวลาของผมก็มีเหลือ ตอนช่วงเย็น หลังเลิกงาน  การเป็นคนต้นเรือนก็คือ  การนำความสามารถ ที่ว่านี้ออกมาใช้  ผมก็สมัครเข้าไปเป็นล่ามแปล นัดกับลูกทีมวายแวม  ออกไปเยี่ยมเยียนเคาะประตูบ้านคน  ตอนเย็น ตอนนั้นฝรั่งที่ไปกับผม คือ คุณ เคลวิน สไตเนอร์  ชาวนิวซีแลนด์  ผมทำอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ตามเวลาที่นัดหมายกันได้ มีคนมาเชื่อพระเจ้า เพราะงานนี้ 7-8 คน  อาจารย์ สมัย ศิษยาภิบาลคริสตจักรที่สุราษฎร์ ในปัจจุบัน เป็น 1 ใน 7-8 คนนี้  ถ้าผมปฏิเสธ  วายแวม ก็ไม่มีล่าม  ส่วนความรู้ความสามารถ เรื่องภาษาอังกฤษ ที่พระเจ้าประทานให้ผมมา ที่ผมร่ำเรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยม เรียนในมหาวิทยาลัย ก็คงถูกพับเก็บอยู่ในกระเป๋าของผม หลายคนก็คงไม่ได้มาหาพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็ไม่โตขึ้น  ที่เขียนมา ไม่ได้ต้องการยกตัวอะไร  แต่เพื่อเป็นตัวอย่าง ว่า ทรัพย์ของคนต้นเรือนที่พระเจ้ามอบให้นั้น จะใช้อย่างไร 

 

 

 

 

พระเยซูตำหนิรุนแรง

 

                เจ้านายที่พระเยซู ยกตัวอย่าง ตำหนิทาสคนสุดท้าย รุนแรงเชียว  คือ “อ้ายข้าชั่วช้า และเกียจคร้าน” ( มัทธิว 25:26) เขา เอา 10,000 บาท ของนายมาคืน   ที่ติว่า “เกียจคร้าน” นี้เข้าใจได้ง่าย  คือ เขาไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ตะลัน ของประทาน  หรือทรัพย์ที่ตนมี เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าอะไรทั้งสิ้น  เขามีทรัพย์ มีความสามารถ แต่เขาอยู่เฉย ๆ กับ งานของพระเจ้า  ไม่อินังขังขอบ  กับการขยายแผ่นดินพระองค์  หรือทำให้เกิดกำไร   แต่ที่ใช้ คำว่า “ชั่วช้า” นี้มีความหมายว่า ทำให้เสียหาย  เหมือนคดโกง  ทำให้ทรัพย์หด ทุนหาย  หมายถึง “ความสามารถ” ที่มีอันควรเกิดประโยชน์ นั้นมิได้คงอยู่เสมอตัว แต่ถูกลิดรอนลงไป คนที่เก็บเงินสดไว้กับตัววันนี้  รู้ดีว่า ตนทำให้เงินหาย เพราะเงินถ้าอยู่ในธนาคารก็จะมีดอกเบี้ย “เหตุฉะนั้น เจ้าควรเอาเงินของเรา (ครับ ทรัพย์ของพระเจ้า) ไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามา จะได้รับเงินของเรา (ของ พระเจ้า) ทั้งดอกเบี้ยด้วย ( มัทธิว 25:27)  เงินสด เอามาเก็บไว้ในพกในไห  ค่าของเงิน 10,000 บาท ไม่ช้าก็เหลือ แค่ 8,000 -7,000 บาท   

 

            ความสามารถที่เรามี  ไม่ลงทุนเอง  ก็ควรฝากธนาคาร  ให้คนอื่นเขาไปทำทุน ก่อกำไรยังดีกว่า  งานรับใช้นั้น แค่ร่วมนิมิตกับผู้ก่อกำไร มันก็ไม่ลดไม่หายน่ะครับ  หากเราไม่ทำอะไรกับควาสามารถที่พระเจ้ามอบให้   สิ่งที่พระเจ้าจะทำก็คือ การเอาเงิน 10,000 นั้นไปไว้กับ คนที่เขาลงทุนทำกำไร  “เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขา  ไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว  จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ  แต่ผู้ที่ไม่มี  แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่  ก็จะต้องเอาไปจากเขา”  (มัทธิว 25:28-29)  พระเจ้ามอบความสามารถ เรี่ยวแรง ความรู้ ทรัพย์สิน ตะลัน ของประทานฝ่ายพระวิญญาณกับเรา  ให้เวลาเราด้วย  วันหนึ่งพระองค์จะมาคิดบัญชี  พระองค์ทรงคาดหวังให้เราใช้ให้เกิดประโยชน์  

 

            เวลาคือทรัพย์

 

            บางคน รับทรัพย์ รับความสามารถเหล่านี้ไว้  และประวิงเวลา  ว่าสักวันหนึ่ง  สักวันหนึ่ง  สักวันหนึ่ง  จะทำ จะทำ สัก

 

 

 

 

วันหนึ่งจะรับใช้พระเจ้า เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไม่ได้เริ่มสักที ฝรั่งเขามีภาษิตว่า  “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” การประวิงเวลา เท่ากับ การทำให้เสียทรัพย์ครับ   2 คนแรก  เมื่อเขารับทรัพย์จากนาย  เขาลงมือค้าขายทันที  ได้กำไรเท่าตัว  นายชมเขาว่าเขาเป็น “ทาสที่ดี และสัตย์ซื่อ”   คือ “ดี และขยัน”  เราจะใช้ชีวิตในโลกอย่างเกียจคร้าน หรือ ขยัน อยู่ที่เราเลือก  ถ้าเราจะทำให้พระราชกิจของพระองค์เฟื่องฟู พัฒนา มีกำไร  เราต้องขยันขันแข็ง  ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง  หลายคนบอกว่าตนเองยังไม่พร้อม  รอให้แต่งงานก่อน  รอให้มีลูก รอให้ลูกโต รอให้ลูกออกเรือน  รอให้เกษียณอายุก่อน  เจ้านายอาจมาก่อน คนต้นเรือนที่ดี คือคนที่เริ่มทำกำไรให้แผ่นดินของพระองค์ทันที  บิลลี่ เกรแฮม ถามว่า “ถ้าไม่ไช่ท่าน แล้ว ใคร   ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แล้ว เมื่อไหร่” 

 

“เวลาดั่งวารี  มิเคยมีจะกลับคืน”  รีบทำกำไรให้งานพระเจ้าเถิดครับ

 

             ขอพระเจ้าอวยพระพร  


Visitor 80

 อ่านบทความย้อนหลัง