ท่านจะนำใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ 

 

ศบ.

 

 

 

 

       มีสัญญาณหลายอย่างในปัจจุบัน ว่าพระเยซูใกล้เสด็จกลับมา เช่น สงคราม แผ่นดินไหว กันดารอาหาร โรคระบาด คำสอนเท็จ ฯลฯ และสัญญาณอันหนึ่งที่พระองค์ตรัส คือ “ข่าวประเสริฐจะประกาศไปทั่วทุกประชาชาติ” (มธ 24:14)

 

       วันนี้ในโลกของเรามีคริสเตียน 31% ของประชากรโลก นับเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุด ในจำนวนนี้รวมโปรแตสแต้นท์ คาทอลิก และกรีก ออกโทดอกซ์   (Britannica,2010)  10 ปีก่อนถึงปี 2000 มีผู้ทำการสำรวจพบว่า คริสตศาสนาเผยแพร่พระกิตติคุณมากที่สุด มีผู้ที่เชื่อโดยการเป็นลูกหลานคริสเตียน 22,708,799 คน รับเชื่อโดยการเผยแพร่ 2,501,396 คน                 (ข้อมูลจาก Encyclopedia Britannica 2005) 

        

        เราสามารถเร่งการเสด็จกลับมาของพระเยซูโดยการขยันประกาศพระกิตติคุณ 

 

        ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พวกสาวกข้องใจเรื่องอาณาจักรใหม่ของยิว จึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์จะตั้งราชอาณาจักรของพระองค์ขึ้นใหม่ให้แก่ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า 

 

 

 

 

“ไม่ใช่ธุระของพวกเขาที่จะรู้เวลาและวาระนั้น แต่ท่านทั้งหลายจะรับพระราชทานฤทธิ์เดช และท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา ตั้งต้นแต่เยรูซาเล็ม ยูเดีย สะมาเรีย จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กจ 1:6-8) 

 

       พูดง่าย ๆ ก็คือ คริสเตียนควรมุ่งสนใจ การนำคน  การประกาศ การขยายแผ่นดินฝ่ายวิญญาณ มากกว่านั่งรอ นอนรอ การเสด็จกลับมาของพระเยซู

 

เราจะเริ่มเมื่อไหร่

 

       ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้ามารับเชื่อ อยู่ในแผ่นดินพระเจ้า พระองค์ก็มอบหมายให้เรานำคนอื่นมาหาพระเจ้า  ตอบคำถามว่า  จะเริ่มเมื่อไหร่  คำตอบก็คือ “ทันทีครับ” 

 

        ตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้เราพิจารณา จะเห็นว่าผู้เชื่อแต่ละคน ล้วนลุกขึ้นมานำคนอื่นทันที ทั้งสิ้น ไม่มีใครรีรอ ไม่มีใครอ้อยอิ่ง รำดาบ หรือนั่งประวิงเวลา  สิ่งหนึ่งที่ทำให้งานพระเจ้าในประเทศไทยไม่คืบหน้ามากเท่าที่ควร  คือ คนใหม่ที่เข้ามารับเชื่อ “เชื่อแล้วก็เงียบ”  ซึ่งผิดแผกแตกต่างจากคนใหม่ในพระคัมภีร์ จนทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า “บังเกิดใหม่จริงหรือเปล่า”  ทำไมเงียบ เพราะคนพบรักพระเยซู ตื่นเต้น

 

 



 

ทุกคน ตื่นเต้นจนเก็บไว้ไม่ได้ เปโตรว่า “ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่เห็น หรือได้ยินนั้นก็ไม่ได้” (กิจการ 4:20) ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์  กล่าวว่า คนที่มีมีบทบาทประการพระกิตติคุณได้ดีที่สุด คือ “คนใหม่” เมื่อถามว่า นับใครเป็นคนใหม่บ้าง ท่านตอบว่า “คนที่เข้ามาเป็นคริสเตียนไม่เกิน 3 ปี” คนใหม่มีเพื่อนภายนอกเยอะแยะ ถ้าเขาไม่ชวนใครในช่วงแรก พ้น 3 ปีไปเป็นคริสเตียนเก่า ยิ่งลุกขึ้นมาเป็นพยาน ยิ่งยาก เพราะเพื่อนหายไปเกือบหมด ทั้งความตื่นเต้นมลายหายไปด้วย เร่มวันนี้เถอะครับ 

 

เราจะเริ่มที่ไหน

 

       พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา ตั้งต้นแต่เยรูซาเล็ม ยูเดีย สะมาเรีย จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กจ 1:8) 

 

       คือเริ่มจากคนใกล้ตัว  คนใกล้บ้าน  คนในหมู่บ้าน ไกลไปถึงคนห่างเรา อีกน่ะแหละครับ หลายคนปิดปากเงียบสนิทกับคนใกล้ตัว  ภรรยาบางคนมารับเชื่อ ยังปิดบังสามีอยู่เลย ลูกบางคนมารับเชื่อไม่กล้าไปโบสถ์กลัวพ่อแม่รู้  นักเรียนบางคนเรียนหนังสือในชั้นเรียน 5 ปี เพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคริสเตียนเลย บริษัทคริสเตียนบางแห่ง พนักงานยังไม่รู้เลยว่าเจ้าของบริษัทเป็นคริสเตียน ครับ เป็นตะเกียงที่จุดและเอาถังครอบไว้ เป็นเกลือที่อยู่ในขวด แต่พอพูดเรื่องนำวิญญาณ  ดวงตาก็จะแวววาวเรื่องการนำคนที่ประเทศจีน นำเด็กจรจัดที่อินเดีย นำคนท่องอินเทอร์เน็ทที่ไม่เห็นตัว  นำสาวขายบริการบนเรือสำราญที่มาเก๊า ฯลฯ  ครับ เริ่มที่เยรูซาเล็ม จูเดีย สะมาเรีย ก่อน  ก่อนไปสุดปลายแผ่นดินโลก

 

เราจะนำใคร 

 

         ยุควิกฤติไวรัสโควิด 19 หลายคนบอกว่าวันนี้ นำใครที่ไหนไม่ได้แล้ว  เพราะตัวเองต้อง work at home สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง 2 เมตร  สถานการณ์ในโลกวันนี้ไม่เอื้อให้เราไปพบใครที่ไหน   ผมอยากบอกว่า คริสตจักรรุ่นแรกโตขึ้นฝ่าวิกฤติสงคราม พวกเขามีอันตรายถึงชีวิต พวกเขาพบการกันดารอาหาร พบวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่แพ้เราแหละครับ  การเดินทาง ก็ไม่สะดวกอย่างปัจจุบัน ไม่มีรถยนต์ เครื่องบิน ไม่มีสื่อทันสมัยอย่างปัจจุบัน ไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีใบปลิว หรือมือถือ  แต่งานพระเจ้าไม่เคยหยุด 

 

ทั้งเติบโตเพิ่มพูนขึ้นด้วย เปาโลประกาศตั้งคริสตจักร สลับกับการเข้าไปนอนในคุก  มันไม่ได้อยู่ที่สถานการณ์หรอกครับ  มันอยู่ที่ความตื่นเต้นในพระคริสต์ และภาระใจที่จะทำพระมหาบัญชาต่างหาก   

 

      ตอบคำถามว่าเราจะนำใคร  ผมขอยกตัวอย่าง 5  ตัวอย่าง ของคนที่มาพบพระเยซูในพระคัมภีร์ เป็นแนวทางให้กับเราน่ะครับ  

 

(1) อันดรูว์ ( ยอห์น 1:35-42) 

 

     นำคนในครอบครัว

 

      ทันทีอันดรูว์ มาพบพระเยซู เขาตื่นเต้นมาก รีบไปบอกซีโมน พี่ชายของเขา และพาพี่มารู้จักพระเยซู  น้องนำพี่ พี่นำน้อง พ่อนำลูก ลูกเล่าให้แม่ฟัง ไปถึงพี่ป้าน้าอาว์  ปูย่าตายายด้วย อันดรูว์กับซีโมน ทั้งสองโตขึ้นในครอบครัวเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ทำงานด้วยกัน ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เขาเล่าสิ่งที่เขาตื่นเต้น กับคนในครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด วันนี้ เวลาเรามีเรืองดี ๆ เราเล่าให้ใครฟังก่อน แน่นอน คนในบ้านง่ายดายที่สุด ครับ เราได้นำคนใกล้ตัว อันเป็นญาติพี่น้องหรือเปล่า 

  

(2) ฟิลิป (ยอห์น 1:43-51) 

 

      เพื่อนนำเพื่อน   

 

      ทันทีที่ฟิลิปมาพบพระเยซู เขาก็ตื่นเต้น และรีบไปบอก นาธานาเอล เพื่อนของเขา ครั้งแรกนาธานาเอลแย้งว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธ” แต่ฟิลิปบอกว่า “มาดูเถิด” เขาพาเพื่อนมารู้จักพระเยซู เขาต่างเป็นชาวเบธไซดา เหมือนกัน (ยอห์น 1:44) ทั้งสองมิได้เป็นญาติพี่น้อง มิได้เป็นคนในครอบครัว แต่เป็นเพื่อนฝูง รู้จักมักคุ้นกัน  มีพื้นเพเหมือนกัน เป็นชาวเลเหมือนกัน  เล่นยิ้มหัวด้วยกันมา อีกแหละครับ เรามีเพื่อนที่ไม่รู้จักพระเยซู เราได้นำเขาหรือเปล่า

 

 


 

(3) หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ (ยอห์น 4:7-42) 

 

        นำคนที่มีพื้นเพเหมือนกับเรา 

 

      ทันทีที่เธอพบพระเยซู เธอก็ละหม้อน้ำขาไปในเมือง บอกคนทั้งปวงว่า “มาเถิด มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันกระทำ ท่านผู้น้ำเป็นพระคริสต์ได้ไหม” “ชาวสะมาเรียเป็นอันมาก ที่มาจากเมืองนั้นได้มีศรัทธาในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงนั้น ที่ว่า “ท่านได้เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันได้กระทำ” ปกติ ชาวสะมาเรีย นำยิวไม่ได้ง่าย ๆ   แต่เขานำสะมาเรียด้วยกันได้อย่างสบาย ชาวเผ่านำชาวเผ่า คนไทยนำคนไทย  ง่ายกว่านำคนต่างวัฒนะธรรม  ต่างชาติ ต่างภาษา นี่คือสิ่งที่ทุกคนทำได้ ไม่ต้องอาศัยล่าม ไม่ต้องไปเรียนภาษาใหม่ ไม่ต้องไปศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีใหม่  ยิวกับสะมาเรียนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้น แต่ระหว่างชาวสะมาเรียด้วยกัน  ไร้กำแพง ชาวสะมาเรียทุกคนที่ฟังเธอ เข้าใจและเกิดความสนใจทันที  คนที่มีวัฒนธรรม ภาษาเดียวกับเรา ยังไม่รู้จักพระเจ้า จำนวนมากมายมหาศาล เราสนใจนำเขาหรือเปล่า

 

(4) คนง่อยที่สระน้ำเบธซาธา (ยอห์น 5: 1-15)

 

         นำคนต่างทัศนะ

 

        อันนี้ดูยากหน่อย เมื่อเรายินดีทำ ก็เกิดผลได้ในเวลาต่อมา

        ชายคนนี้เป็นง่อยมา 38 ปี  เมื่อพระเยซูทรงรักษาเขา  เขาก็เป็นพยานทันที และเมื่อเขาพบว่าพระองค์คือผู้บำบัดรักษาเขา เขาก็กล้าหาญบอกคนยิว ผู้พยายามจับผิด ว่าผู้ที่รักษาเขาคือพระเยซู พวกธรรมาจารย์ มีความคิดเห็นแตกต่าง  เมื่อพวกเขาถาม คนง่อยก็ตอบเป็นพยาน  ตามความจริงตามที่ตนประสบ อย่างกล้าหาญ เราไม่ควรกลัวที่จะเล่า 

 


 

 

ประสบการณ์ชีวิตให้ทุกคนที่อยากรู้  แม้ยังไม่เกิดผลในวันนี้  แต่สักวันหนึ่ง จะเกิดผล ประสบการณ์ความจริงทรงพลัง เหมือนเมล็ดพืชที่มีชีวิต วันหนึ่งรากสามารถชอนไชเงียบ ๆ ทำให้ไม้ต้นนี้เติบโตขึ้นในเวลาต่อมา ยิวที่เคยต่อต้านพระเยซูเหล่านี้มาเชื่อมากมายในพระธรรมกิจการ  ผมพบคนที่เพิ่งมาเชื่อ เพราะมีพ่อแม่ หรือคุณปู่คุณย่าเคยหว่านความเชื่อไว้ในอดีตบ่อย ๆ เขาเล่าว่าเขาเคยหัวแข็งมาก แต่วันนี้ยอมกับพระเจ้าแล้ว  เมื่อมีคนมาถามเรื่องพระเยซู เรายินดีใช้เวลาพูดคุย เล่าประสบการณ์ของเราให้เขาฟังหรือเปล่า 

  

เซาโล (กิจการ 9:19-20) 

 

        นำกลุ่มคนที่มีต้นทุน  

 

      เซาโลเลือกไปธรรมศาลา ทันที่ที่พบพระเยซู เพราะมียิว คนเข้าจารีตยิว และคนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้าอยู่ที่นั่น   หลังจากที่เซาโลรับบัพติสมา “พอรับประทานอาหารแล้วมีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน  ท่านไม่ได้รีรอ ท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระเยซูว่า “พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า”  ยิวที่ธรรมศาลารู้พระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม  เฝ้ารอว่าวันหนึ่งพระคริสต์จะเสด็จมา เขาเป็นกลุ่มคนที่ง่ายกว่าชาวโรมัน หรือชาวกรีซ  ที่ไม่มีพื้นความเข้าใจเรื่องพระเจ้า   เขาเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ประตูความรอด  เซาโล รู้ดี  เพราะท่านเอง

 

 

 

 

 

ก็เป็นคนในกลุ่มนี้  ลูกหลานคริสเตียนที่ไม่พบพระเจ้า  เพื่อนที่เคยเรียนในโรงเรียนคริสต์ หมู่บ้านที่เคยมีผู้มาประกาศ ภรรยาที่มีสามีเป็น คริสเตียน แน่นอนไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับ  แต่พวกเขาเป็นพวกที่น่าจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาเคยรู้จักมักคุ้น ใกล้ชิดกับผู้เชื่อ ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า เป็นกลุ่มคนที่มีต้นทุน เรารู้จักคนเหล่านี้ในแวดวงของเรา เราสนใจนำเขามาหาพระเจ้าหรือเปล่า

 

       เปาโลใคร่ประกาศกับคนยิว ที่มีต้นทุนสูง (โรม 10:1-2)  ขณะที่พระเยซูทรงเรียกท่านให้นำคนต่างชาติ (โรม 11:13) ท่ามกลางคนต่างชาติ กลุ่มคนที่ท่านมุ่งนำมาคือ คนต่างชาติในธรรมศาลา มีต้นทุน ที่เราเรียกว่า “ผู้ยำเกรงพระเจ้า” (กิจการ 14:48;16:13;18:9;19:9)

 

       เราได้รับมาเปล่าๆ จงให้เปล่าๆ

 

      พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” (มัทธิว 5:14) พระเยซูให้เครดิตคริสเตียน ถ้าไฟติด เราจะเอาถังครอบทำไม เราได้รับมาเปล่าๆ เราจะไม่ให้ไปเปล่า ๆ หรือ  ถ้าเราพบพระเยซู ชีวิตเราเปลี่ยน เราไม่ตื่นเต้นหรือ เราจะตื่นเต้นอยู่ในห้องคนเดียวหรือ ในขณะที่คนรอบตัวเรายังไม่รู้จักพระองค์เลย

 

      ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ


Visitor 60

 อ่านบทความย้อนหลัง