พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ

 

ศบ.

 

 

 

              “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด  และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด  เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า  ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก”  (บทเพลงคร่ำครวญ 3:22-23)

 

              พระธรรมเยเรมีย์  เขียนตักเตือนให้คนยิวกลับใจจากบาป  ก่อนที่กรุงจะพินาศ ล่มลง   ผลสุดท้ายยิวไม่ฟังเสียงเตือน กรุงล่มสลายลงจนได้  ในปี กคศ 586   คนยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน  บ้านแตกสาแหรกขาด มีแต่ความเศร้าสลด รันทดใจ  บทเพลงคร่ำครวญ เป็นหนังสือที่เขียน เมื่อกรุงแตกแล้ว  ถ้าจะตั้งชื่อว่า  นิราศเยรูซาเล็ม    กำสรวลกรุงเก่า หรือ อาลัยรักเมืองหลวง   

 


 

ก็คงไม่ผิด  ถ้าเป็นวรรณกรรมบ้านเรา  เอาบทกลอนมาร้องขับเสภา คนฟังก็ต้องร่ำไห้สะอึกสะอื้นแน่นอน  โดยเฉพาะ คนที่รู้จักความเจริญรุ่งเรือง โอ่อ่า ภูมิฐาน มั่งคั่ง ของเยรูซาเล็มในยุคของพระราชาซาโลมอน  ที่เคยถูกบรรยายว่า “พระราชาทรงกระทำให้เงินนั้น เป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน” ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:27)  อิสราเอลแข็งแกร่งไปเสียทุกด้าน  ด้านการปกครอง เศรษฐกิจ การค้า การทหาร พระราชวัง ทั้งพระวิหารที่โอ่อาตระการตา  เมื่อพระราชินีแห่งเชบา เสด็จมาเยี่ยมพระองค์  พระนางยอมรับว่า “หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเข้าเฝ้า  เมื่อตาของหม่อมฉันได้มาเห็นเอง ดูเถิด ที่เขาบอกหม่อมฉัน  ก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พระสติปัญญา และความมั่งคั่งของพระองค์มากยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน” (1 พกษ 10:7)  

     

            พระคัมภีร์เขียนให้เป็นอุทาหรณ์ เตือนใจ เราที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า  จนประสบความสำเร็จรุ่งเรือง  ว่า อย่าได้หลงใหลออกนอกทาง อย่างชาวยิวยุคนั้น  วันนี้ พวกเขาตก ระกำลำบาก เป็นทาส เป็นเชลยศึกอยู่ต่างแดน  กรุงก็พังพินาศไปหมด   “กรุงที่

 

 

 

 

คับคั่งด้วยพลเมือง มาอ้างว้างอยู่ได้หนอ  กรุงที่รุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางประชาชาติ  มากลายเป็นดั่งหญิงม่ายหนอ กรุงที่เป็นดั่งเจ้าหญิง ท่ามกลางเมืองทั้งหลาย  กลับเป็นเมืองขึ้นเขาไป  กรุงนั้นร่ำไห้สะอื้น  ในราตรีกาล และน้ำตาของเธอก็อาบแก้ม..” (พคค 1:1-2)

           

          คนเรายามตกทุกข์ได้ยาก  สิ้นหวัง  ร่างกายก็พลอยอ่อนระโหยโรยแรง ไปด้วย    สมัยผมเป็นหนุ่ม  มีเพลงฝรั่งอยู่เพลงหนึ่ง  ชื่อว่า “The end of the World” แปลเป็นไทย ก็ต้องตั้งชื่อว่า “โลกสลาย” ขับร้องโดย นักร้องสาวสมัยนั้น ชื่อ Skeeter Davis  ในเนื้อเพลง เธอบรรยายว่า “เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมคลื่นยังคงซัดเข้าหาฝั่ง  ทำไมนกถึงยังร้องเพลง  ทำไมดวงดาวยังคงส่องแสงบนฟ้า ทำไมหัวใจของฉันยังคงเต้นอยู่   ตื่นมาตอนเช้า  เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมทุกอย่าง มันยังคงเหมือนเดิม  อะไร อะไรก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม  มันไม่รู้หรือว่า  โลกนี้มันสลายไปแล้ว  สลายไปตั้งแต่ดิฉันสูญเสียคนรักไป ตั้งแต่เขาบอกลาดิฉัน    

 

         แล้วในบทเพลงคร่ำครวญนั่นเอง  คนยิวก็นึกขึ้นมาได้ว่า  พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ  ความรักมั่นคงของพระองค์ไม่เคยหยุดยั้ง ใหม่ทุกเช้า  ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก 

 

 

 

 

 

เช็ดน้ำตาได้แล้วซิ

 

        ในโลกของเรา  คนเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะ  ชายหนุ่มที่เคยให้สัญญากับหญิงสาวว่า “ผมรักคุณมากที่สุดในโลก  ผมสัญญาว่าจะไม่ทิ้งคุณ  จนชั่วฟ้าดินสลาย  เราทั้งสองจะอยู่กินกันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง  กระบองยอดเพชร  จนเราจะมีชีวิตคู่ เป็นเฒ่าชะแร แก่ชรา”  อยู่มาวันหนึ่ง พ่อหนุ่มก็สลัดรักเธอดื้อ ๆ ว่า “ผมหมดรักคุณแล้ว” แล้วเขาก็ผละเธอไป   นักการเมืองที่เคยพูดสัญญา  พูดถึงจุดยืนของตัวเองอย่างแข็งขัน  จนหลายคนหลงเชื่อ  วันหนึ่งเขาก็พลิกลิ้น  ไปร่วมคดโกงเพื่อประโยชน์ของตน  ฝืนคำสาบานตนวันเข้ารับตำแหน่ง ได้อย่างหน้าตาเฉย   เปาโล เคยเตือนคริสตจักรเอเฟซัส สมัยนั้น ว่า “จะมีบางคนในหมู่พวกท่านเอง กล่าวผันแปรความจริง เพื่อจะชักชวนพวกสาวกให้หลงตามเขาไป” (กิจการ 20:30) 

 

         แล้วเราจะวางใจใคร  

 

         สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอุ่นใจ  มั่นใจ เช็ดน้ำตา ยืนผงาดขึ้นมาใหม่ คือ พระเจ้าทรงรักเรา  ด้วยความรักนิรันดร์  พระองค์สัญญา และทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์

 

         เรารู้จักความสัตย์ซื่อของพระเจ้า

 

 (1)  พระเจ้าทรงผดุงโลกให้ดำเนินไปอย่างคงเส้นคงวา   แม้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์  แต่พระองค์ยังทรงรักให้โอกาสเสมอ   

(2 ทิโมธี 2:13 ) เราไม่มีความสัตย์จริง  พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง” ทรงให้ฝนตกแดดออก  แก่คนดีและคนชั่วเสมอเหมือนกัน (มธ 5:45)  

 

เมื่อทรงสัญญาสิ่งใด  พระองค์จะยืนหยัดทำตามสัญญาเสมอ “ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงสัญญากับท่านแล้วจะล้มเหลวไป  สำเร็จหมดทุกอย่าง  ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ล้มเหลว” (โยชูวา 23:14)

 

(3)   เมื่อเราทำผิด กลับใจใหม่ สารภาพ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อยกโทษความผิดเรา  ( 1 ยอห์น 1:9 ) ถ้าเราสารภาพบาปของเรา  พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม  ก็จะทรงยกโทษบาปของเรา  และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”  

 

(4)   สัญญากับรุ่นปู่ย่าตายาย  ทรงกระทำตามพระสัญญาไปถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลน

สดุดี 100:5 “ เพราะพระเจ้าประเสริฐ  ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์  ความสัตย์สุจริตของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์   เนหมีย์ทวงพระสัญญา ที่ทรงกระทำกับโมเสส  “ขอพระองค์ทรงระลึกถึงพระวจนะ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้กับโมเสส  ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า..ถ้าเจ้ากลับมาหาเรา  รักษาบัญญัติของเรา และประพฤติตา

 


 

 

ฟ้าไกลที่สุด  เราจะรวบรวมเจ้ากลับมาจากที่นั่น  และนำมายังสถานที่ที่เราได้เลือกไว้ เพื่อกระทำให้นามของเราดำรงอยู่ที่นั่น” 

  (เนหมีย์ 1:8-9)

 

(5)  เราควรยึดมั่นในความหวัง  ที่เราเชื่อ ไม่หวั่นไหว   เพราะพระเจ้า ผู้ประทานพระสัญญา ทรงสัตย์ซื่อ  (ฮีบรู 10:23)

 

(6)  พระคัมภีร์ที่เราอ่าน เชื่อถือได้  จะทรงทำให้สำเร็จตามนั้น  (สดุดี 33:4)

“เพราะพระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม  และพระราชกิจของพระองค์ก็สำเร็จด้วยความสัตย์ซื่อ” 

 

ความสัตย์ซื่อของพระเจ้านั้น   พระองค์มิทรงเปลี่ยนพระลักษณะแต่อย่างใด ( ฮีบรู 1:16) ทรงชอบธรรม  ทรงมีพระเมตตา ทรงยุติธรรม   ทรงสัตย์จริง  อย่างไรในอดีต  ก็ยังทรงพระลักษณะดังกล่าว  ในปัจจุบัน  และอนาคต  ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างใด  

     

         นอนตาหลับแล้วน่ะครับ  ไม่วุ่นวายใจ  เพราะพระองค์ ที่เป็นพระบิดาของท่านั้น มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง รักท่านอย่างไร   รักท่านเสมอ  ทรงตัดสินพระทัยประทานสิ่งดีที่สุดให้ท่านเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงนะครับ

 

         ขอพระเจ้าอวยพระพร


Visitor 61

 อ่านบทความย้อนหลัง