ข้าฯ ใคร่ให้ท่านพานพบประสบการณ์ ปานนี้”

 

ศบ.

 

 

 

แรงกระตุ้นให้เราเป็นพยาน

 

                  ผู้เชื่อทุกคน ต่างก็รู้ว่า พระเยซูทรงมุ่งมาด ปรารถนาให้เรา ออกไปเป็นพยาน ประกาศ นำผู้คนมารับความรอด เรารู้จักพระมหาบัญชาดี  เราท่องได้ จำได้  แต่พอเราใช้ชีวิตประจำวัน  เราก็เพลิดเพลินกับ โน่น นี่ นั่น รอบตัว แล้วเราก็ลืมคำสั่งของพระองค์   นานเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน  แล้วลงเอยด้วย การอยู่เฉย ๆ ตัวใครตัวมัน  เราไม่คิดจะเป็นพยาน นำใครมารู้จักพระเจ้า  คริสตจักรก็เช่นเดียวกัน  เราอาจง่วนอยู่กับความสุขในโบสถ์ จนลืมคนภายนอกจำนวนมหึมา ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า 

 

                  ผมเคยดูภาพยนตร์  เรื่อง Defiance ชื่อภาษาไทยว่า “วีรบุรุษชาติพยัคฆ์” นำแสดงโดยดาราดัง แดเนียล เคร็ค  เป็นเรื่องจริงที่เกิดปี 1941 ช่วงสงครามครั้งที่ 2 ตอนทหารนาซีบุกเข้าไปในยุโรป

 

 

 

ตะวันออก  กวาดล้างยิว มาเข้าค่ายกักกัน เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์  ตามที่เรารู้กัน น่ะครับว่า ท้ายที่สุด เมื่อสงครามสงบลง นาซีฆ่ายิวไปถึง 6 ล้านคน  ช่วงนั้นที่ เบลารุส มีพี่น้อง 3 คน คือ ซี ทิวเวีย, ลีซูส และ เอเซียล  ที่พ่อแม่ถูกนาซีฆ่าตาย  แต่ 3 คนพี่น้อง รอดตาย    พวกเขาจึงตัดสินใจมาหลบซ่อนอยู่ในป่า ที่ตนชำนาญมาตั้งแต่เด็ก  คือรู้ทางหนีทีไล่อย่างดี  เมื่อพวกเขามั่นใจว่า  นาซีกำลังจะกวาดคนในหมู่บ้านไปฆ่า ในขณะที่พวกเขาปลอดภัย  จึงตัดสินใจ  ลอบเข้าไปชวนคนในหมู่บ้านให้มาเข้าป่าร่วมกับเขา  หลายคนลังเล  แต่ท้ายที่สุดก็มีชาวบ้านประมาณ 1,200 คน ออกจากหมู่บ้าน เข้าป่ากับเขา เป็นชุมชนน้อย ๆ ทุกข์ยากในป่า นาน 2 ปี จนสงครามเลิก เยอรมันพ่ายแพ้  ยิวที่ออกมารอดตายเกือบหมดทุกคน https://www.youtube.com/watch?v=FVNR8PrtnQc

 

                 แรงจูงใจ ที่ทำให้เราช่วยคนอื่น ที่มีพลังมากที่สุดคือความรัก

 

                 พระเยซูตรัสว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

 

                 ผมวิเคราะห์  ตัวอย่างที่ผมยกมาข้างต้นน่ะครับ  ซี ทิวเวีย, ลีซูส และ เอเซียล   3 พี่น้อง ที่พ่อแม่ของเขา ถูกทหารนาซีฆ่าตาย หมดนั้น  เขาแลเห็นชัดเจนว่า คนในหมู่บ้านจะถูกฆ่าทั้งหมด  ส่วนเขา 3 คน มีทางรอดตาย  เพราะป่าที่เขาหลบซ่อนอยู่นั้น  เขาชำนิชำนาญ ถ้าเยอรมันไม่เก่ง

 

 




จริง ก็คงไม่เสี่ยงตายเข้ามา  แล้วเขาคิดต่อไปว่า  เขาจะรอดตายแค่ พวกเขา 3 คนเท่านั้นหรือ   คิดแล้ว  เขาก็ตัดสินใจว่า เขาต้องเข้าไปชักชวนชาวบ้านออกมา  เขาพร้อมปกป้อง  ไม่ง่ายน่ะครับ เพราะชาวบ้านหลายคน โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ยังไม่เชื่อว่านาซีจะเอาพวกเขาไปฆ่า   การแอบเข้าไปชักนำคนเป็นพันออกมาเข้าป่า ก็ใช่ว่าจะง่ายดายที่ไหน   แต่เพื่อช่วยชีวิตพวกเขา  เรื่องยากก็ต้องทำให้ได้  

 

                ถามว่า อะไร คือแรงจูงใจพวกเขา ผมเห็นว่า (1) แลเห็นอันตรายข้างหน้า (2) รักชาวบ้าน  เหมือนที่ตัวเขาเอง  

 

                วันนี้  เรามีคนไทย และผู้คนอีกจำนวนมาก รอบตัวเรา ที่เขายังไม่รู้จักพระเจ้า  ศัตรูกำลังย่ำยี หลอกลวง ให้หลงเชื่อว่า จะพาพวกเขาไปแค่ทำงาน  จะคุ้มครอง และให้ชีวิตรอด ทั้ง ๆ ที่เจตนา คือการเอาไปฆ่า   พระเยซูตรัสว่า “ขโมยนั้นย่อมมา เพื่อจะลักฆ่า และทำลายเสีย   แต่เรามาเพื่อเขาจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10) 

 

               เหตุที่ผมดูหนังเรื่องนี้  เพราะผมสนใจว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทหารนาซี ฆ่ายิวอย่างมโหฬารนั้น มีใครรอดได้บ้าง และรอดได้โดยวิธีใด ปกติผมก็ไม่ชอบ เรื่องนิยายที่แต่งขึ้นมัน ๆ  แต่ผมอยากดูเรื่องจริง พอทราบว่าเรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์จริง ก็ยิ่งอยากรู้   ผมสนใจจริง ๆ  วันนี้ ขณะที่มารกำลังเข่นฆ่าผู้คนให้พินาศนั้น  มีทางรอดครับ  มีทางรอดอัน

 

 

 

ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เราทั้งหลาย ทางการไถ่โทษบาปของพระเยซูคริสต์  นี่คือข่าวประเสริฐ  และนี่คือเรื่องจริง มิได้อิงนิยาย แม้แต่น้อยนิด  

 

                 เมื่อเรามารู้จักพระองค์  ชีวิตเราเปลี่ยนไปหมด  จากคนที่เคยตกเป็นทาสเหล้ายาปลาปิ้ง  ติดหวยติดเบอร์ เผยอหัวไม่ขึ้น  จากที่เคยตรอมตรม  ท้อแท้  พ่ายแพ้ตัวเอง  ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง  ทั้งปัญหาในการงาน และครอบครัว อีลุงตุงนัง  หาความสงบไม่ได้  วันนี้  พระเจ้าทรงเมตตาช่วยเราหลุดพ้นออกมาเป็นไท  ผมมิได้ หมายความว่า เราจะไม่พบความยากลำบากอะไรอีกเลย  เหาะขึ้นไปอยู่บนวิมานฟ้า  แต่ความยากลำบากที่พานพบ เป็นเรื่องไม่ใหญ่โตเกินกำลังอะไร  พระเจ้าทรงยอมให้เกิด ก็เพื่อปั้นเราให้แข็งแกร่ง ต่างจากการอยู่ในเงื้อมมือศัตรู ที่จะเอาเราตาย  

 

               ในภาพยนตร์  เรื่อง Defiance  ถ้าดูเข้าไปในเนื้อเรื่องจะพบว่า  การอยู่ในป่านาน 2 ปีนั้นลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องที่พักในหน้าหนาว และเรื่องอาหารการกิน แต่ความลำบากนี้ ก็นับว่าขี้ประติ๋ว เวลาเทียบกับค่ายกักกันนาซี  

 

               ความสุข ความยินดี  ที่เรากำลังได้รับวันนี้  ในขณะที่ญาติพี่น้องของเรากำลังเหือดแห้ง หาทางออกไม่เจอนั้น  คือแรงจูงใจยิ่งใหญ่ที่

 

 

 

 

 

 

ทำให้เรา  อธิษฐานเผื่อเขา  นำข่าวประเสริฐไปบอกเขา  พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลก ประมาณ 2000 ปีที่แล้ว ทรงเปิดตาคนตาบอด  เปิดปากคนใบ้ รักษาคนง่อยให้เดินได้  ขับผีออกจากคนที่ถูกผีสิง  สั่งสอนเราว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข  ไถ่โทษความผิดบาปของเราที่ไม้กางเขน  พระพรเหล่านี้  เราได้รับ ได้สัมผัสทั้งสิ้น  เรามีสันติสุข  มีความชื่นชมยินดี ร้องเพลงได้ทุกวัน  เราหายปวดหัวอย่างในอดีตที่เราเคยเป็น  เราตักตวงพระพรที่พระเจ้าประทานให้เราประจำวัน 

 

              หันไปมอง เพื่อนพ้องน้องพี่  เขายังไม่เคยประสบ แม้แต่น้อย   เราไม่อยากให้คนที่เรารักได้สิ่งดีเดียวกันนี้หรือ  เราจะรับสิ่งดีอยู่แต่ผู้เดียวหรือ พระเยซูตรัสว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” เมื่อเราพบสุข จะไม่ชวนให้คนทุกข์ มีสุขอย่างเราหรือ หากเขายืนกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมรับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้  นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไม่มีฝืนใจใครได้  แต่เราได้พยายามแล้วหรือยัง   เพลงที่ชวนพี่น้องร้องวันนี้  คือ “ข้าฯใคร่จะให้ท่าน พบประสบการณ์ ปานนี้”   

 

              ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ


Visitor 75

 อ่านบทความย้อนหลัง