ผู้ที่จะเป็นสาวกพระเยซู

คำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2007
ศจ.สมเกียรติ กิตติพงศ์



(ลูกา 9:47-62)
พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเยซูทรงเรียกสาวกหลายครั้ง เฉพาะยอห์น บทที่ 1 ก็ทรงเรียกสาวก 5 คน บางครั้งก็บันทึกเรื่องการเรียกชาวประมง คนเก็บภาษี แต่หมอลูกานักประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องการเรียกสาวก 3 คน ตอนนี้ คงจะเป็นการพูกกกันเข้ามา ก็เป็นการช่วยให้เราได้เข้าใจลักษณะของผู้ที่จะเป็นสาวก ซึ่งจะขอบรรยายดังนี้
1.สบาย หรือยากลำบาก
คนแรกบอกพระเยซูว่า “พระองค์เสด็จไปทางไหน ข้าพระองค์จะตามไปทางนั้น” (57)
การติดตามพระเยซู คน ๆ นี้คิดว่าน่าจะสบาย ในตอนนั้นพระองค์กำลังเป็นที่นิยม ชื่นชอบ โด่งดัง ท่ามกลางผู้คน เพราะผ่านมา 3 ปี แล้ว (51) เขาจึงอยากตามพระองค์ แต่พระเยซูต้องการให้เขาประเมินการตัดสินใจเสียก่อน เพราะชีวิตคริสเตียนย่อมพบความทุกข์ลำบาก พระองค์จึงตรัสถึงพระองค์เองว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่วางศีรษะ” พระองค์เคยตรัสว่า “ไม่มีใครสร้างบ้านไม่คิดราคาดูเสียก่อน” (ลูกา 14:28)

แต่พี่น้องยังติดตามพระเยซู อยู่ ณ วันนี้ใช่ไหม? ทำไมท่านจึงยังคงติดตามพระองค์? ก็เพราะเราเห็นคุณค่ามิใช่หรือ? เหมือนคนกล้ากระโดดลงมาจากตึก 4 ชั้น เพราะเห็นว่าชั้นล่างไฟกำลังไหม้ และเห็นว่าข้างล่างที่ตนจะกระโดดลงไป มีเปลรองรับอยู่ เหมือนคนกล้าซื้อที่ดิน ด้วยทรัพย์หมดตัว เพราะเห็นว่าในที่ดินแปลงนี้มีขุมทรัพย์ล้ำค่าฝังอยู่ เหมือนนางรจนาเลือกเจ้าเงาะเพราะเห็นรูปทองข้างใน เราแลเห็นคุณค่าในพระเยซูหรือเปล่า
2.ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้แล้ว เมื่อไหร่
พระเยซูตรัสกับชายคนที่สองว่า “จงตามเรามาเถิด แต่เขากลับบอกว่าให้ตนไปฝังศพบิดาก่อน” ธรรมดาการไปงานศพบิดาดูเหมือนจำเป็นมาก มันจำเป็นสำหรับคนไทยเสียด้วย แต่พระองค์ก็มองเป็นการแก้ตัว ในลูกา 14:18-20 เมื่อเจ้าองค์หนึ่งเชิญคนมางานเลี้ยง หลายคนแก้ด้วย พวกเขาแก้ตัว คนแรกว่าข้าพเจ้าซื้อนาไว้จะต้องไปดูนานั้น คนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ ห้าคู่ และต้องไปลองดูโคนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าไปไม่ได้” คนเรามีข้อแก้ตัว เลื่อนเวลาว่าตนยังไม่พร้อมเยอะแยะ ตอนเรียนก็แก้ตัวว่าใกล้สอบ พอสอบเสร็จก็แก้ตัวว่าต้องไปหางาน พอได้งานก็ว่าเพิ่งเข้างานใหม่ พอทำงานไปพักหนึ่ง ก็บอกว่ารอเงินเดือนขึ้น อีกไม่นานก็แก้ตัวว่าจะแต่งงาน พอแต่งแล้วก็ว่าเพิ่งแต่ง อีกไม่นานก็ว่า จะมีลูก ลูกเล็ก ลูกจะเข้าเรียน ลูกคนที่สอง ฯลฯ ตลอดชีวิตเลยไม่พร้อม” พระเยซูว่าให้คนตายฝังคนตายเองเถิด” ไม่ใช่พระองค์ไม่เข้าใจ แต่เรื่องสามัญไม่มีเหตุผลพอฟัง เมื่อเทียบกับการเข้ามาเป็นสาวก

3.ครึ่งใจ หรือ หมดทั้งหัวใจ
อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ที่บ้าน ของข้าพระองค์ก่อน”
ผมเรียกคนแรกว่า นายพล่อยเพราะพูดโดยไม่คิด คนที่สอง เรียกนายผลัด เพราะผัดวันประกันพรุ่ง ส่วนคนที่สาม ผมต้องเรียกนายพ่วงเพราะจะเลือกตัดสินใจมาเป็นสาวกต้องไปขออนุญาตคนที่บ้านก่อน
คนเรามักเข้าใจกันว่า เมื่อผู้สนใจเข้ามารับเชื่อเขาก็เข้ามาเป็นสาวก หรือเป็นคริสเตียน แต่บางคนก็เข้าใจว่า เขาเป็นแค่คริสเตียนธรรมดา วันดีคืนดีค่อยก้าวขึ้นเป็นผู้รับใช้อีกครั้ง แต่นี้เป็นความเข้าใจผิด เพราะคริสเตียนทุกคนคือผู้รับใช้ เหมือนยิวพูดว่าเขามีประชากร 4 ล้านคน และเขามีทหารอยู่ 4 ล้านคน เช่นเดียวกัน คือประชาชนทุกคนเป็นทหารหมด คริสเตียนทุกคนคือผู้รับใช้ ในเรื่องนี้เราจะเห็นว่าพระองค์เรียกเขามาเป็นสาวก และเขาอยากตามพระเยซูคาดหวังให้พวกเขารับใช้
คนแรก เขาอยากตามพระเยซู พระองค์คงตรัส เหมือนลูกา 9:23 ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนตามเรามา” รับกางเขนแปลว่า แบกภาระ แปลว่ารับใช้อีกครั้งพระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา” (มัทธิว 11:28)
คนที่สอง พระองค์ บอกว่า แต่ท่านจงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า นี้ก็เรื่องการทำงานรับใช้ ประกาศ ไม่ใช่ อยู่เฉย ๆ
คนที่สาม พระองค์บอกว่า “เอามือจับคันไถ แล้วอย่าหันหน้ากลับเสีย นี้ก็ตรัสเรื่องการรับใช้ จับคันไถ...แปลว่าทำงาน” ครับ พระองค์สอนสาวกซึ่งเป็นผู้รับใช้ว่า อย่ากลัวความลำบาก อย่ารอเวลา และอย่าเลิกน่ะครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพร

Click เพื่อฟังคำเทศนาที่นี่
Visitor 494

 อ่านบทความย้อนหลัง