การกล่าวโทษ และ คนมักเยาะเย้ย

สองสิ่งนี้มาจากมาร การกล่าวโทษ เป็นเหมือนยาพิษ พิษร้ายจากงู ที่เมื่อเราได้รับ มันจะกัดกร่อนกินหัวใจเรา ทำให้เราท้อถอย หวาดกลัว และเลิกล้มงานรับใช้พระเจ้า มักจะมาจาก "คนมักเยาะเย้ย" คำนี้ไม่ค่อยมีใครใช้กันในสังคมเรา แต่พระคำพระเจ้าเต็มไปด้วยคนเหล่านี้ โยบทนทุกข์หนักยิ่งกว่าสิ่งที่ร่างกายเขาเผชิญจากโรคร้าย ก็คือ คำเยาะเย้ยถากถางจากคนพวกนี้ (โยบ 17) มันเป็นวิญญาณชั่วที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทุกวงการ ทีวี ภาพยนตร์ ตลก ทุกระดับตั้งแต่ผู้นำ เจ้านาย เพื่อน ๆ สามี ภรรยา ลูก ๆ และโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเรา คนที่เรารักและเคารพ

"การคิดประดิษฐ์ความโง่เป็นบาป และคนมักเยาะเย้ยเป็นที่น่าเกลียดชังแก่มนุษย์" สุภาษิต 24.9

ถ้อยคำกล่าวโทษเมื่อมาถึงหูเรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ผิด เหมือนเมล็ดข้าวละมานที่มาจากศัตรู หากเรารับเอาเข้ามาไว้ในใจ เหมือนดินดี ใคร่ครวญถึงคำพูดเหล่านั้น มันก็จะเติบโต หยั่งรากขมขื่นในใจ ในการงาน การรับใช้ของเรา และเกิดผลตามที่ศัตรูต้องการ คือ ให้เราหยุดชะงักแผนการของพระเจ้าที่พระองค์มีไว้ให้เราทำ แต่กลับไปทำให้งานของคนอื่นหยุดชะงักไปด้วย ใช่ เรากลายเป็นพวกเดียวกับที่เขาได้ทำกับเรา เรากลายเป็นผู้กล่าวโทษคนอื่น เพราะเราเองเจ็บมาก่อนจากคนเหล่านั้น เรากลายไปเป็น "คนมักเยาะเย้ย" เป็นลูกสมุนของมารไปในร่างกายนี้ในที่สุด

อย่าลืม เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อและเลือด (เอเฟซัส 6.12-13) คนมักเยาะเย้ย ไม่ใช่ศัตรูของคุณ แต่เขาถูกควบคุมโดยศัตรูของคุณ เมื่อเราเผชิญกับการกล่าวโทษ จากคนมักเยาะเย้ยเรามักจะมีท่าทางสองอย่างต่อเหตุการณ์นี้ คือ โกรธอย่างชอบธรรม และ หาทางแก้แค้น แก้ตัว หรือ โกรธอย่างชอบธรรม และหันไปหาพระเจ้า เสาะหาความชอบธรรมจากพระองค์ เหมือนอย่างดาวิดทำ ที่เรามีหนังสือ สดุดี อ่านกันทุกวันนี้ เพราะด้วยการกล่าวโทษอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ดาวิดไม่เคยที่จะแก้แค้น หรือ แก้ตัว เขาหนี ไปอยู่ตามถ้ำ ตามลำพัง ร้องไห้ อธิษฐาน แต่งเป็นเพลง ฝากไว้กับพระเจ้า (สดุดี 35) อย่าลืม การแก้แค้นเป็นของพระองค์ พระเจ้าเองจะเป็นผู้ตอบสนอง (โรม 12.19) และเมื่อเวลาพระเจ้าลงโทษพวกเขา คุณต้องไม่สมน้ำหน้าเขา หรือ สะใจ หรือดีใจที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับเขา นั่นแสดงว่างานของมารก็สำเร็จอยู่ดี ก็คือ คุณกลายเป็นคนมักเยาะเย้ยแทนที่คนนั้น แล้วพระเจ้าจะหันความโกรธของพระองค์จากคนเหล่านั้น แล้วมาแก้ไขคุณแทน (สุภาษิต 24.17-18) "อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี" โรม 12.21

พระเยซูคริสต์ ทนทุกข์การถูกเยาะเย้ยถากถางมากที่สุดกว่ามนุษย์คนใด พระองค์เข้าใจสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ จงเลือกสันติ เลือกวิธีที่พระองค์เป็นแบบอย่างให้กับเรา พระองค์อธิษฐาน ไม่ใช่ให้พระเจ้าลงโทษคนเหล่านี้ แต่ขอการให้อภัย การยกโทษแก่คนเหล่านี้ ใช่ เมื่อคุณเผชิญกับการข่มเหง ไม่ว่าจะมาจากคนในครอบครัว คนที่คุณรัก คนที่คุณเคารพ ครู เพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือ ผู้นำในคริสตจักร เยาะเย้ย ถากถาง กล่าวโทษ เย้ยหยันคุณ คุณก็ยกโทษให้เขา แน่นอน มันเจ็บปวด แต่เราต้องเลือกเอาว่า เราจะก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไป และเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น บุคลิกของเราจะเปลี่ยนไป ความอดทนจะทำให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ ใช่ครับ พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อทดสอบคุณด้วยไฟ (ความทุกข์ยากลำบาก) เพื่อที่คุณจะเป็นทองบริสุทธิ์ สิ่งเจือปน มลทินจากเนื้อหนัง จากชีวิตเก่ามันจะหลุดไป เมื่อคุณผ่าน คุณจะได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ทำงานที่สำคัญ และยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อพระสิริของพระองค์ ครับ คุณกำลังจะได้ทำงานร่วมกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และกำลังจะได้รับสง่าราศีร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระองค์รักคุณมาก และอยากแบ่งปันความชื่นชมยินดีนี้ให้กับคุณ พระองค์อยากให้คุณได้ยินพระองค์พูดว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด" (มัทธิว 25.21) หรือ ว่าเราจะเลือกเป็น คนมักเยาะเย้ยเสียเอง สะดุด ไม่ยอมให้อภัย ขมขื่นกับเหตุการณ์นี้ และเลิกราจากงานรับใช้ ไม่มาโบสถ์ บางคนหันหลังให้พระเจ้าไปเลย เพราะเราอดทนต่อการข่มเหงนี้ไม่ได้ "ถ้าเจ้าเยาะเย้ย เจ้าก็จะทนแต่ลำพัง" สุภาษิต 9.12

พระเจ้าไม่เคยวางแผนงานเพื่อทำร้ายคุณ หรือ เพื่อให้คุณล้มเหลว (เยเรมีย์ 29.11) ชัยชนะ ความสำเร็จ เกียรติเป็นของพระเจ้า มาจากพระเจ้า และเพื่อพระเจ้า พระองค์ประทานให้คุณ และต้องการให้คุณพบสิ่งเหล่านี้ คุณจะพบความสำเร็จได้อย่างไร หากคุณไม่เข้าแข่งขัน คุณจะพบชัยชนะได้อย่างไร หากคุณไม่เจอคู่ต่อสู้ คุณจะได้รับเกียรติได้อย่างไร หากคุณไม่เรียนรู้ที่จะถ่อมใจเสียก่อน พระปัญญาพิสูจน์แล้ว ว่าแผนงานของพระเจ้านั้นดีเลิศ จงเลือกพระเจ้า เลือกเอาชีวิต และวิธีการของพระองค์ อาวุธของเราไม่ใช่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายโลก แต่มีฤทธิ์สามารถทำลายป้อมปราการของศัตรูได้ นั่นคือการใช้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับวิญญาณแห่งความหยิ่ง ที่ทำงานในคนมักเยาะเย้ย ออกมาเป็นคำพูด ที่กล่าวโทษ สิ่งนั้นก็คือ ความถ่อมใจ การยอมอยู่ใต้พระเจ้า การไม่ตอบโต้ต่อการกล่าวหา และ การข่มเหง ตอนเป็นผมเป็นเด็ก ผมได้ยินคำกล่าวนี้และชอบมาก "คริสเตียนไม่ใช่งูที่มีเขี้ยวพิษไว้ทำร้ายคนอื่น แต่เป็นหนอนที่คนขยี้ได้ ที่วันหนึ่งเราเปลี่ยนแปลงและบินไปเป็นผีเสื้อ"

"พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ย แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนใจถ่อม" สุภาษิต 3.34

"ความสุข เป็นของบุคคล
ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม
หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย
แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า
เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน
เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ
ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เxxx่ยวแห้ง
การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น
แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป
เหตุฉะนั้นคนอธรรมจะไม่ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อถึงคราวพระเจ้าทรงพิพากษา
หรือคนบาปไม่ยืนยงในที่ชุมนุมของคนชอบธรรม
เพราะพระเจ้าทรงทราบทางของคนชอบธรรม
แต่ทางของคนอธรรมจะพินาศไป"
สดุดี 1

ในภาษาฮิบรู คำว่า
"ความสุข" คือ พระพร โชคดี ความมั่งคั่ง และเป็นที่น่าอิจฉา
"ดำเนิน" คือ ใช้ชีวิต
"ตามคำแนะนำ" คือ ตามแผนงานและเป้าหมายของคนชั่ว
"ยืนอยู่" คือ การยอมสยบ การไม่ทำอะไร เฉย ๆ
"ทาง" คือ ที่ ๆ คนบาปเดินอยู่ทุกวัน
"นั่งอยู่" คือ การพักผ่อน การไว้างใจ
"ที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย" และถากถางมาประชุมกัน
"พระธรรม" คือ กฎหมาย กฎบัญญัติ คำแนะนำ คำสั่งสอนของพระเจ้า
"ภาวนา" คือ คิดถึง ศึกษา ไตร่ตรองบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย
"ปลูกไว้" คือ อย่างมั่นคง และ ได้รับการริดใบ ดูแล
"ซึ่งเกิดผล" คือ พร้อมที่จะเกิดผล
"จำเริญขึ้น" สู่ความสมบูรณ์ มั่งคั่ง เพิ่มพูน โตเต็มที่
"คนอธรรม" คือ คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟัง และ ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีพระเจ้า
"เหมือนแกลบ" คือ ไร้ค่า ตายแล้ว ไม่มีเนื้อข้างใน
"ไม่ยั่งยืนอยู่ได้" คือ จะไม่ได้รับการถูกทำให้เป็นคนชอบธรรม
"คนชอบธรรม" คือ คนเหล่านั้นที่เที่ยงตรง และมีความสัมพันธ์ ยืนอยู่อย่างถูกต้องกับพระเจ้า
"ทรงทราบ" คือ รู้ และ คุ้นเคย
"ทางของคนอธรรม" คำนี้คือ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่นอกน้ำพระทัยพระเจ้า
"พินาศ" คือ จบลงด้วยการถูกทำลายให้สิ้นซาก และกลายไปเป็นความว่างเปล่า

ผมเรียนรู้สิ่งนี้มาตลอดชีวิตผม ทั้งในการทำงานในสังคมโลกนี้ และการรับใช้ในคริสตจักร พระเจ้าได้สำแดงบทเรียนนี้กับผมในนิมิตความฝัน เพื่อจะบอกผมว่า พระเจ้าจะลงโทษคนมักเยาะเย้ย และ คำกล่าวโทษแน่ ๆ แต่ผมต้องไม่เข้าไปใกล้ความบาป และไปเล่นหยอกเย้ากับมัน ด้วยการสมน้ำหน้าเขา หรือ ยังใช้คำพูด พูดล่อลวง เย้ายวน สนับสนุนความบาป และผมต้องไม่เอาการแก้แค้นมาอยู่ในมือของผมเอง สารภาพบาปวันนี้ ตัดสัมพันธ์กับมัน และ ไม่นำมันมาพูดถึง หรือ ยังเก็บส่วนเล็ก ๆ ของมันไว้ ยังหัวเราะเล่นสนุกกับชีวิตเก่า เพราะว่าศัตรูมันคอยเฝ้าดู และ คอยกล่าวโทษเราอยู่เสมอทั้งกลางวันและกลางคืน ผมตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจเต้นแรง แทนที่ผมจะใคร่ครวญถึงคำเยาะเย้ย ถากถาง คำกล่าวโทษที่ไม่เป็นความจริง เพราะพวกเขามองอยู่แค่ด้านเดียว แล้วสรุปว่าผมเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ผมหันมาใคร่ครวญพระคำพระเจ้าดีกว่า และฝากเขาไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า ในฝันผมโกรธและต่อต้านผู้นำ ต่อมาในฝันพระเจ้านำให้ผมเห็น การลงโทษผู้นำเหล่านั้น พระเจ้าส่งคนมาเปิดโปงเขา และลงโทษเขา เขาพบกับความละอาย และ ขมขื่น แต่ใจผมไม่ได้ดีใจหรือสาสมกับสิ่งที่เขาเผชิญเลย ผมกลับมองดูที่ตัวเองและระลึกว่า การแก้แค้นเป็นของพระเจ้า หากผมไม่ยกโทษ ไม่อภัยให้เขา เขาจะได้รับการลงโทษที่น่ากลัวจากพระองค์ พระเยซูบอกว่า "ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในเมืองของตน และในวงศ์วานของตน" มัทธิว 13.57 ในยามที่ผู้คนในตำบลบ้านของพระองค์ดูหมิ่น เยาะเย้ยพระองค์ การข่มเหงจะเริ่มจากครอบครัวของพระเจ้าก่อน แต่อย่าได้ท้อใจ หรือ ท้อถอย เข้ามาหาพระเจ้า ยกโทษให้เขา สรรเสริญ นมัสการพระเจ้า อ่านใคร่ครวญพระคำพระเจ้า และ อดทน ยอมรับใช้ภายใต้การนำ และ คริสตจักรต่อไป เราจะปฏิเสธการกบฏ การต่อต้าน เราจะไม่ยอมเป็นเหมือนคนมักเยาะเย้ย เพราะเราเจอกับคนมักเยาะเย้ย หากเราไปทะเลาะ หรือ พยายามแก้ไขเขา จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะคนมักเยาะเย้ยอยู่ใต้ธงความหยิ่ง "คนมักเยาะเย้ย เป็นชื่อของคนเย่อหยิ่งและคนจองหอง ผู้ประพฤติตัวด้วยความเย่อหยิ่งยโส" สุภาษิต 21.24 ในกองทัพการกบฎ "คนมักเยาะเย้ยกระทำบ้านเมืองให้ลุกเป็นไฟ..." สุภาษิต 29.8 เขาจะไม่ฟังและเกลียดคุณ (สุภาษิต 9.8, 13.1, 14.6,9, 15.12) ศัตรูมันต้องการให้เราทะเลาะกัน แยกกัน แตกหมู่กัน เพื่อมันจะโจมตีเราได้ เพราะมันรู้ว่าหากเราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม พระเยซูอยู่กับเรา และเรามีฤทธิ์เดชมากกว่ามัน เพราะเรารู้อุบายของมันแล้ว

"...แต่ปราชญแปรความโกรธเกรี้ยวไปเสีย" สุภาษิต 29.8 และ "ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบ ๆ" สุภาษิต 29.11

อย่าลืม ศัตรูของคุณไม่ใช่คนเหล่านั้น ศัตรูของคุณคือ วิญญาณแห่งการกล่าวโทษ วิญญาณแห่งการเยาะเย้ย วิญญาณแห่งความหยิ่ง วิญญาณแห่งการเคร่งศาสนา วิญญาณกบฎ วิญญาณแห่งการแตกแยก พระเจ้าได้ให้วิธีจัดการพวกมันไว้กับเราแล้ว "จงขับคนมักเยาะเย้ยออกไปเสีย แล้วการวิวาทจะหมดไป การวิวาทและการดูแคลนจะหยุดลง" สุภาษิต 22.10 การรวมตัวกันเป็นกลุ่มและอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้า สารภาพบาปของเรา ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำรวจในจิตใจว่ามีทางชั่วใดใดซ่อนอยู่ในใจเราหรือไม่ คุณรู้ไหมว่า การดื่มสุรา กินเหล้า ก่อให้เกิดการเยาะเย้ยด้วย? "เหล้าองุ่นให้เกิดการเยาะเย้ย และสุราก็ให้เกิดเป็นพาลเกเร ผู้ใดยอมให้มันพาเจิ่นไป ก็ไม่เป็นคนฉลาด" สุภาษิต 20.1 ด้วยเหตุนี้ สิ่งนี้จึงถูกนำมาเป็นหลักในการเลือกผู้ที่มาเป็นผู้นำคริสตจักร นั่นคือเขาต้อง "ไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนเลือดร้อน ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้..." ทิตัส 1.7 สามสิ่งนี้ทำงานร่วมกัน หากคุณได้พลาดพลั้งไปในเรื่องเหล่านี้ ให้นำมาสารภาพกับพระเจ้า ขอพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระใจนี้ ขอความชอบธรรมของพระองค์คลุมชีวิตคุณไว้ ให้พระองค์ซ่อนคุณไว้ในพระคุณพระองค์ และยกโทษให้คนเหล่านั้นที่ทำผิดต่อคุณ ออกชื่อของเขา และบอกว่า "ลูกยกโทษให้กับ...ที่เขาได้พูดหรือทำ...กับลูก" และขอพระพรของพระเจ้าลงมาเหนือเขาและครอบครัวของเขา อธิษฐานให้กับเขาอย่างจริงจากใจเหมือนคุณกำลังอธิษฐานให้กับคนที่คุณรัก "จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึงมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ และท่านทั้งหลายก็เหมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศน์ฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์" 1 เปโตร 2.4-5 คนเหล่านั้นเขาก็เป็นพี่น้องของเรา พระเจ้าสร้างเขาเหมือนกัน เขาเพียงแต่ถูกผูกมัดอยู่ ตกเป็นทาส เป็นเชลยอยู่ในค่ายศัตรู เขาอาจไม่รู้ตัว ว่าสิ่งที่เขาพูดและทำนั้น ทำให้คนอื่นเจ็บปวดแค่ไหน และด้วยความรักในองค์พระเยซูคริสต์ให้เราสั่งขับไล่วิญญาณเหล่านั้นออกไป เพื่อช่วยเขาให้ม่านที่บังตาเขาอยู่นั้นเปิดออก และมาถึงความเข้าใจ ให้เราออกเสียงตามชื่อของวิญญาณชั่วเหล่านั้น ไล่มันออกไปจากท่ามกลางพวกเรา "เราอยู่รวมกันที่นี่ในนามของพระเยซูคริสต์ ในนามของเจ้าสาวของพระคริสต์ เราเห็นชอบร่วมกันและขอสั่งขับไล่วิญญาณ...นี้ไปจากสถานที่แห่งนี้" ให้อ่านออกเสียงให้ทุกคนได้ยินคำอธิษฐานจากบทที่ 1 ของจดหมายฝากทุกเล่ม เช่น เอเฟซัส โคโลสี 1 เปโตร เพื่อให้คุณทุกคนรู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และเรามีสิทธิอำนาจเหนือศัตรูอย่างไร

"แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์เลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์" 1 เปโตร 2.9

เรารู้เป้าหมายชีวิตของเราแล้ว ให้เรามาทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราไว้นี้ให้สำเร็จเถิด นำคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้ามาหาพระองค์ และคนที่รู้จักพระองค์แล้วถวายตัวอีกครั้งกับพระบิดา พระเยซูใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว ให้พระองค์พบเราว่ากำลังทำงานของพระองค์อยู่ "ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาดที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน แต่ถ้าทาสนั้นชั่วช้าและคิดในใจว่า นายของข้ามาช้า แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาสและกินดื่มอยู่กับขี้เมา นายของทาสผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน" พระเยซูเอง เป็นผู้พูดเรื่องนี้ ในมัทธิว 24.45-51

ด้วยรักในพระคริสต์
เอ็ม สุรชัย

Visitor 601

 อ่านบทความย้อนหลัง