ฤทธิ์พระคำ

 

โดย  ศบ.

 

“พระคัมภีร์   ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า   เป็นประโยชน์ในการสอน   การตักเตือนว่ากล่าว   การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี   และการอบรมในทางธรรม  เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง”                                                        ( 2 ทิโมธี 3:16-17)

             พระคัมภีร์  เป็นหนังสือพิเศษ  ที่ไม่เหมือนหนังสือเล่มใดๆ  ในโลก  ต่างตรงไหน  ก็ตรงที่พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อันนี้แปลว่าอะไร  

            ผมจะเล่าให้ฟัง  

            การดลใจในการเขียนพระคัมภีร์นี่เป็นศัพท์เฉพาะ  คือผู้เขียนในอดีต  เช่น  โมเสส ก็ดี  อาโมสก็ดี  มัทธิว  หรือเปาโลก็ดี  เขียนพระคัมภีร์  ไปตามปกติ ตามสถานการณ์ตอนนั้นๆ   ตามสไตล์  ตามสำนวนโวหาร  และตามพื้นความรู้ในภาษาของตน เช่น โมเสสก็เขียนข้อความตักเตือนคนยิวสมัยนั้น   เปาโลเขียนกำชับทิโมธีเรื่องการจัดการกับคริสตจักร    แต่ขณะที่เขียนนั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ควบคุมความหมาย  ไม่ให้

ผิดพลาด   ไม่พลาดนี่  ผมขอย้ำว่า  ไม่มีความผิดพลาดใดๆเลย  จนพระคัมภีร์ที่อยู่ในมือของเรานี้  เราสามารถนำมาใช้อ้างอิงได้

          หนังสือเล่มนี้  จึงไม่ธรรมดา  เพราะเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   เวลาเราอ่าน  เราจึงต้องการพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้เปิดเผยสำแดงให้เรารู้   พระคำของพระเจ้าจึงลึกซึ้ง  คือขุดออกมาอย่างไร  ก็ค้นไม่ถึงก้นบึ้งสักที  ดี แอล มูดี้  ท่านบอกว่า  ท่านเทศนาเรื่องบุตรน้อย  จากลูกา บทที่ 15 นี่ นับร้อยครั้ง  แต่ละกัณฑ์ที่ท่านเทศนา  ท่านได้ข้อคิดใหม่ๆออกมาเสมอ  

         ประเด็นที่ผมต้องการพูดวันนี้   คือ  พระวจนะคำมีฤทธิ์เดช

(1)  นำให้คนผิดกลับใจ   กิจการ 17:30   “พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่”  เวลาคนเราเดินผิดทาง  การเตือนให้กลับใจนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราคนเรามี ego ของตัวเอง เมียเตือนผัว  ผัวเตือนเมีย  เพื่อนเตือนเพื่อนนี่ยิ่งยากนัก  เพราะเราต่างก็มีศักดิ์มีศรีกันทั้งนั้น  ลูกเตือนพ่อนี่ยิ่งยากนักหนา  แต่พอบอกว่านี่เป็นคำเตือนจากพระเจ้า  มีบันทึกในพระคัมภีร์   คนที่ตระหนักว่ามีพระเจ้า  พระเจ้าก็ไม่ทรงซี้ซั๊วต่า  เขาตั้งฟัง

(2)  หนุนใจคนท้อ   2 โครินธ์ 1:4-5  “พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง  พระองค์ทรงชูใจในความทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา”  ไม่มีใครในโลกชูใจคนท้อ  เก่งกว่าพระเจ้า  ใน 365 วัน  คนเราท้อถอยเสียกี่วัน  ปัญหาเข้ามาเผชิญเราบางครั้งก็ไม่ซ้ำแบบกันเลย  เมื่อเราเผชิญปัญหา  มีหน่วยส่งเสริมความทุกข์ (นสท)  มันจะใช้บางคนมาช่วย(ซ้ำเติม) เรา   “เห็นไม๊  ฉันว่าแล้ว  ไปไม่รอดหรอก”  พวกนี้เก่งมาก  รู้จักใช้เสียงต่ำ เสียงสูง  ฟังแล้ว   น่าเชื่อฟังมากๆก็จะเคลิบเคลิ้ม  ที่แรกคิดว่าจะนอนซมอยู่สักวัน  พอฟังเข้า  เลยนอนยาวเป็นอาทิตย์เลย  หันมาอ่านพระคำซิ  เราจะพบว่า  พระเจ้าหนุนใจเราด้านตรงกันข้าม  “ชูใจทุกอย่าง”  เมื่อเราเจ็บไข้  พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  เมื่อเราต้องต่อสู้กับความชั่วร้าย และมาร  พระองค์ทรงเป็นนักรบ  เมื่อเราว้าเหว่  พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย  เมื่อเราล้มลง  พระองค์ทรงช่วยพยุงขึ้นมาใหม่  เมื่อเราสูญเสียคนรัก  พระองค์คือผู้ที่รักเราเสมอไป

เมื่อธุรกิจของเราซบเซา  พระองค์คือผู้ที่บอกเปโตรให้หย่อนอวนอีกทีในที่น้ำลึก  พระเจ้าไม่เคยแพ้  พระองค์ไม่เคยสาย  ทางของพระองค์ไม่เคยตัน   สิ่งดีเกิดจากสิ่งที่เราเคยคิดว่าเลวได้เสมอ  

(3)  เป็นดัง “น้ำนม” ให้คนใหม่  

       “เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด  จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์  เพื่อโดยน้ำนมนั้น  จะทำให้ท่านจำเริญขึ้นสู่ความรอด “ (1 เปโตร 2:2)  

         พระคำถูกเปรียบเทียบกับน้ำนม  คริสตจักรรุ่นแรกในพระธรรมกิจการ  พอ  รับเชื่อปุ๊บ  ก็ขะมักเขม้นฟังคำสอนของพวกอัครทูต ปั๊บ ( กิจการ 2:42) ไม่มีอาการอ้อยอิ่ง ยืดยาด เหนื่อยหน่าย หรือต้องแค่นให้ศึกษาพระคัมภีร์  แต่พวกเขาเหมือนทารกหิวนม  กินก็โต  เพราะในน้ำนมมีทั้งคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ แถมยังมี  สาร โนโรสตุม  ช่วยต้านเชื้อโรคให้อีกต่างหาก   เด็กไม่กินนมมีหรือจะรอด  คนใหม่ไม่อ่านหรือเรียนพระคำ  ก็เช่นเดียวกัน  ตายลูกเดียว  บางคนว่า อย่าเพิ่งอ่านพระคัมภีร์เอง  เธอต้องผ่านหลักสูตรนั่นหลักสูตรนี่เสียก่อน  ตลกมาก  ระวังนะครับ ผู้พูดอาจเป็นปากกระบอกเสียงให้มาร  ทารกต้องเข้าสู่หลักสูตรอะไรก่อนกินนม  ผมอยากบอกว่า  พระคัมภีร์ไม่มีพิษภัย  สำหรับคนทุกคน ทุกเพศทุกวัย  “น้ำนมมีพลังสำหรับทารกฉันใด  พระคำก็มีพลังสำหรับคนใหม่ฉันนั้น”   ฟังผมน่ะ  มารหาเรื่องให้ท่านเมินพระคำ โดยสารพัดวิธี  ผลที่ออกมาก็คือ  ถึงวันนี้  เป็นคริสเตียน 10-20 ปีแล้ว  พระคัมภีร์ เล่มเดียว ท่านยังอ่านไม่จบ  เดินผิด คิดผิด คิดใหม่ได้นะครับ  ยังไม่สาย

(4)  เป็นอาหาร   จากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่                                                           “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้   แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”                                                                                                      (มัทธิว 4:4) 

       ไม่มีใครปฏิเสธ ว่าร่างกายของคนเราต้องการอาหาร  คนเราขาดอาหารไม่ได้  ขาดก็จะหิว  แต่พอมีอาหารลงถึงท้องก็รู้สึกสบาย อิ่มเอิบ นี่คืออาการภายนอก  แต่คนเรามิได้เป็นสัตว์   มีแต่ร่างกายอย่างเดียว  เราถูกสร้างขึ้นอย่างพระเจ้า เรามีวิญญาณภายใน  อาหารของวิญญาณไม่ใช่ข้าว ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว  แต่เป็นพระคำของพระเจ้าต่างหาก  วิญญาณเราเติบโตขึ้น  ก็เพราะเรารู้ความจริงจากพระวจนะ  และเราก็ถ่อมใจลงเปลี่ยนชีวิตตามความเข้าใจ                                                                                      พวกเราที่เคยถือศีลอด  รู้ดีว่า  เวลาท้องกิ่ว นั้นเราจะอ่อนเพลีย ตาลาย  เหน็ดเหนื่อย  ท้องแห้ง คอแห้ง  อ่อนแรง  เชื่องช้า  ไม่กระฉับกระเฉง  ซมซานแค่ไหน

      เวลาเราขาดพระคำละครับ  มันก็ออกอาการเหมือนกัน  สังเกตได้ไม่ยาก เช่น  ไม่สดชื่น  รู้สึกว่าขาดอะไรในชีวิตไปก็ไม่รู้  ก็เล่นขาดโบสถ์ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นวันอาทิตย์   หงุดหงิด  โมโหง่าย  ขาดความยับยั้งชั่งใจ เปราะบางต่อการทดลอง  รู้สึกไม่มั่นคง  อารมณ์เสียกับคนข้างเคียงโดยไม่มีเหตุผลสมควร  ขาดความรัก  เห็นวัตถุเป็นเรื่องใหญ่ ความสัมพันธ์กับลูกกับเมียเป็นเรื่องเล็ก  ทะเลาะกับคนรักเพราะเรื่องขี้ประติ๋ว  ความกลัวเข้ามาครอบงำจิตใจ   บางคนพอมีอาการอย่างนี้  ก็แก้โดยหาอาหารฝ่ายกายมากิน  กินมากขึ้น  หาของอร่อยๆมากิน  สิ่งที่ได้ก็คือวิญญาณยังผอมเหมือนเดิม  บางคนคิดว่าตนขาดอาหารหูหรือ อาหารตา  ก็ไปป้อนตัวเองด้วยทีวี เกมส์โชว์  คอนเสริต์  ดูหนังฟังเพลง  ดูจำอวด  แม้หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง  แต่วิญญาณภายในไม่มีพระวจนะก็อ่อนแรงเหมือนเดิม                                         

 

(5)  พระคำสร้างความเชื่อ

ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน   และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์ “        

                    (โรม10:17)              

       แต่ละวันเราได้ยินแต่เรื่องร้ายๆ  เรื่องลบๆ  เรื่องที่พาให้ใจเราหดหู่  หมดหวัง  ความหวาดกลัวครอบงำจิตใจของเรา  เหมือน  โกลิอัท  นักรบยักษ์ชาวฟะลิศเตีย  ที่มาท้าทายกองทัพอิสราเอล ท้าเช้าท้าเย็นตั้ง 40 วัน เอาจนกองทัพกลัวหัวหด  คิดไม่ออก  เพราะไม่มีใครตัวโตเท่ายักษ์ไปสู้กับยักษ์  คิดได้แต่แพ้อย่างเดียว  ถ้าทำธุรกิจก็นึกภาพแต่จะเจ๊ง  หาเงินก็คิดแต่จะจน  ชักหน้าไม่ถึงหลัง  สอบเข้าก็คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะสอบตก  แล้วก็อ้างเหตุผลสารพัด   ว่าทำไมตนเองถึงต้องพ่ายแพ้   ดาวิดมีพระคำ  ดาวิดมีถ้อยคำจากพระเจ้า  ดาวิดได้ยินยักษ์  คำแรกที่ดาวิดพูดก็คือ “คนฟะลิศเตีย  ไม่เข้าสุหนัตคนนี้มาท้าทายกองทัพพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร”   แล้วดาวิดก็ล้มยักษ์ได้  คนที่ฟังพระคำจะคิดในทางบวก  เขาจะมีความเชื่อ  เขาจะคิดว่าปัญหาเป็นเรื่องเล็ก  พระเจ้ายิ่งใหญ่  ทุกอย่างเขาชนะได้โดยพระเจ้า

(6)  พระคำ  นำทาง                                                                      “พระวจนะเป็นโคมส่องเท้า  สำหรับเท้าของข้าพระองค์   เป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์”      (สดุดี 119:105)

         ไม่มีใครรู้วิธีตัดสินใจของตน  ในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างหรอก  คนหนุ่มคนสาว  ก็ย่อมไม่รู้หรอกว่าจะเลือกคู่ครองแบบไหน  วิธีก็คือ  ปรึกษาพระคัมภีร์(2 โครินธ์ 6:14)  พ่อแม่ใหม่  ย่อมไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูก  ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงวิธีไหน วันก่อนผมได้ยินคนในรัฐบาล  ออกมาแนะนำ  วิชาการทันสมัยว่า

รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด”  ตกลงจะเอายังไง ถ้าเขาทำผิด จะตีหรือจะกอด  ผมบอกให้  ให้ปรึกษาพระคัมภีร์ (สุภาษิต 13:24)   เขาโกงเรา ตกลงเราจะเอายังไงดี (มัทธิว 5:5)  ตำรวจรีดไถอยู่ที่สี่แยกไฟแดง  ตกลงเราจะฟังคำสั่งของตำรวจคนนั้นหรือไม่  ปรึกษาพระคัมภีร์  ( มัทธิว 23:2-3)                                                              พระคำเปรียบดังตะเกียง  ส่องสว่างที่ไหน  ความมืดก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที  ความจริง  มีฤทธิ์  เหมือนดาบสองคม  แทงทะลุจิตใจ  ความคิด  

พระคำเปรียบเหมือนเมล็ดพืช  ดูเม็ดถั่วเล็กๆ  ดูเหมือนว่ามันไม่มีศักยภาพใดๆ  แต่พอตกลงในดิน  มันก็งอกขึ้น แสดงพลัง เกิดผลมาก  ขยายไป  พระคำที่ตกถึงใจคนก็เป็นเช่นนั้น   กิจการ 12:24

               ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 

 









Visitor 741

 อ่านบทความย้อนหลัง