การยอมฟัง
(Submission)

คำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2008
ศจ.สมเกียรติ กิตติพงศ์

โรม 13:1-7


โรม 13:1-7
ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของ ผู้ที่มีอำนาจปกครอง (Delegate Authority) เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ

คำว่า การเชื่อฟัง(Obedience) แตกต่างจากคำ การยอมฟัง (Submission)
การเชื่อฟัง มักใช้เวลาที่เราถือพระบัญญัติ แต่การยอมฟัง ใช้เวลาเราอยู่ใต้อำนาจปกครอง และเราต้องทำตามอำนาจนั้น

พระเจ้าทรงปกครองโลกนี้ (สดุดี 103:19) หมายถึงคนในโลกนะครับ พระองค์ไม่ใช้วิธีปกครองคนในโลก คนต่อคนเท่านั้น แต่ทรงมอบหมายอำนาจให้ผู้นำในสถาบันต่างๆของสังคมเป็นผู้ปกครองดูแลแทนด้วย อำนาจเหล่านี้เป็นมาแต่พระองค์ อาจารย์เปาโลบอกว่า พระองค์ทรงแต่งตั้งเขาขึ้น(โรม13:1) และผู้มีอำนาจเหล่านี้ เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า(โรม 13:4)เช่น

เราเป็นคนไทย
พระเจ้าก็ทรงประทานรัฐบาลไทยเป็นผู้ปกครองดูแลเรา แล้วพระเจ้าก็สอนให้เรายอมอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลไทย แล้วพระคัมภีร์ก็สอนเราว่า “จงเตือนเขาให้นอบน้อมต่อเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เชื่อฟังและพร้อมปฏิบัติงานสัมมาอาชีพ” (ทิตัส 3:1) สมัยพระเยซูโรมเป็นผู้ปกครองปาเลสไตน์ พระเยซูตรัสว่าของของซีซาร์ จงให้แก่ซีซาร์ ของของพระเจ้าจงให้แก่พระเจ้า พระเยซูไม่เคยสอนให้พวกเขาขบถ แต่ให้มีท่าทีน้อมยอมฟังผู้มีอำนาจ
ในบ้าน ซึ่งมีพ่อแม่และลูกๆ พ่อเป็นใหญ่ และแม่ก็รองลงมา เป็นผู้ปกครองบ้าน หรือครอบครัว
พระคัมภีร์สอนให้ลูกยอมฟังพ่อแม่ ฝ่ายบุตรจงนอบน้อมเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า (เอเฟซัส 6:1)

สามีภรรยา มีกันอยู่สองคน หลักปกครองของพระเจ้าก็คือ มิใช่ทั้งคู่เท่าเทียมกัน แต่ทรงให้สามีเป็นศีรษะของภรรยา คือมีอำนาจปกครอง และภรรยาก็เช่นกัน ต้องยอมฟังสามี
ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (เอเฟซัส 5:22)

ในบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน ผู้จัดการบริษัท คือผู้มีอำนาจปกครองบริษัท เหมือนในสมัยพระเยซูก็มีนายปกครองบ่าว สมัยนั้นถึงขนาดเป็นทาสเลยด้วยซ้ำ พระคัมภีร์สอนทาสว่าอย่างไร
ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้เป็นนายของตนตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า (โคโลสี 3:22)

ในคริสตจักรก็เช่นเดียวกัน ศิษยาภิบาล และผู้ปกครอง คือมีผู้มีอำนาจปกครอง พระคัมภีร์สอนให้สมาชิกทั้งหลายยอมฟังเช่นเดียวกัน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยเศร้าใจ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน (ฮีบรู 13:17)

บางคนคิดว่า เขาไม่ต้องฟังใคร ใครอย่ามาปกครองเขา เขาฟังแต่พระเยซูเท่านั้น เขาเข้าใจผิดครับ พระเจ้าไม่ตรัสกับท่านทุกเรื่องหรอก และการตรัสกับท่านโดยตรงมีน้อยเรื่อง แต่ส่วนใหญ่พระองค์ปกครองท่านผ่านรัฐบาล นายอำเภอ ตำรวจ ผ่านสามี พ่อแม่ เจ้านายในบริษัท ศิษยาภิบาล และผู้ปกครอง

จะยอมฟังอย่างไร
1.เหมือนฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ 5:22)
“ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า”
2.ด้วยน้ำใสใจจริง (คส 3:22) “ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตนตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า”
3.ด้วยความเต็มใจ (คส 3:23) ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์
4.ทุกประการ (อฟ 5:24)
“คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น”
(ทต2:9) “จงตักเตือนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตน และให้กระทำสิ่งที่ถูกใจนายทุกประการ
อย่าให้เถียงเลย”




อำนาจและการยอมฟังกว้างไกลแค่ไหน
(1)ต้องอยู่ในศีลธรรม
ผู้ที่มีอำนาจปกครอง ต้องใช้อำนาจอยู่ในศีลธรรม พ่อแม่มิอาจออกคำสั่งให้ลูกไหว้รูปเคารพ และลูกอาจไม่ทำตาม ซึ่งการไม่ทำตาม ไม่ใช่การขบถ แต่ชี้แจงด้วยท่าทีของการยอมฟัง ดาเนียลเคยถูกกลั่นแกล้ง ด้วยกฎหมายห้ามอธิษฐานถึงพระเจ้า แต่กราบไหว้เทวรูป ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส แต่ดาเนียลก็มิได้ยอมทำตาม ท่านไม่ได้หือหรือต่อสู้
การปฏิเสธที่จะทำผิดกฎศีลธรรมทำให้ท่านต้องถูกทิ้งลงไปในถ้ำสิงโต

(2)อยู่ในขอบข่ายของอำนาจที่พระเจ้าให้
บริษัทก็มีอำนาจปกครองเฉพาะเรื่องที่เป็นการดูแลนายกับบ่าว ศิษยาภิบาลก็มีอำนาจปกครองเฉพาะเรื่อง คริสตจักรและฝ่ายวิญญาณ ศิษยาภิบาล หรือพ่อแม่ คงไม่บอกให้ใครต้องใส่หมวกกันน้อคในโบสถ์หรือในบ้าน แต่บนถนนตำรวจต้องการให้ท่านสวม เพราะเรื่องหมวกกันน้อคเป็นเรื่องการจราจรบนท้องถนน

โบสถ์บางแห่ง เวลาท่านจะเข้าไปประชุมในห้องประชุม เขาให้ท่านถอดรองเท้า ท่านต้อง
ยอมฟัง เพราะเป็นขอบข่ายอำนาจของเขา ท่านจะอ้างว่า ปกติท่านอยู่โบสถ์ของท่าน ท่านไม่เคยต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าโบสถ์ ดังนั้นท่านจะขอใส่รองเท้าเข้าไปในโบสถ์ของเขา อย่างนี้เรียกว่ายอมฟังไหม

คนยุโรปเขาขับรถทางขวามือ ฝรั่งมาเมืองไทย เมืองไทยเขาขับรถทางซ้ายมือ เขาบอกเขาไม่ชอบ เขาชอบขับทางขวา เขาลองขับรถทางขวาในเมืองไทยซิ ตำรวจจะไม่จับเขาหรือ? และอย่างนี้เขาเรียกว่ายอมฟังหรือ? เขารู้หรือเปล่าว่านี่ขอบข่ายอำนาจของตำรวจไทย บนท้องถนนไทย

การยอมฟังไม่มีปัญหาหรอก หากเรื่องนั้นไม่ขัดใจท่าน แต่ถูกพิสูจน์ในเวลาที่ความต้องการของท่านไม่ตรงกับความต้องการของผู้มีอำนาจ ตรงนี้แหละคือข้อพิสูจน์การยอมฟัง

ขอยกตัวอย่าง เรื่องการยอมฟังทุกประการ
พ่อแม่ในบ้านมีกฎให้ลูกๆของตนหลายข้อ เช่น

(1)ให้ลูกๆมากินข้าวร่วมกันที่โต๊ะอาหาร
(2)ต้องทำการบ้านให้เสร็จเสียก่อนไปปั่นจักรยานเล่นรอบหมู่บ้าน
(3)ต้องเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม
(4)ก่อนไปไหน ต้องขออนุญาต
(5)ถ้ากลับบ้านผิดเวลาให้โทร.บอก

สมมุติว่าท่านยอมฟังพ่อแม่ ข้อ(1) (2) (3) และข้อ (5) (เพราะเป็นอะไรที่ท่านเห็นดีเห็นชอบอยู่แล้ว) แต่ข้อ (4) “เรื่องจะไปไหนๆต้องมาขออนุญาตเสียก่อน” เป็นข้อทีท่านไม่เห็นชอบด้วย เพราะท่านรู้สึกว่ามาขัดขวางอิสรภาพของท่านเกินไป ท่านจึงไม่ทำตาม อย่างนี้เขาเรียกว่ายอมฟังไหม? ท่านที่เป็นพ่อแม่ท่านยอมไหม? ลูกของท่านไปที่ไหนๆโดยที่ท่านไม่ต้องรับรู้นั้น OK ไหม?

ถ้าท่านขับรถมอเตอร์ไซค์ บนท้องถนน ตำรวจมีกฎอยู่ว่า
(1)เมื่อมีไฟแดง จะต้องหยุดรถ
(2)ไม่จอดรถในที่ห้าม
(3)ไม่แซงทางซ้าย
(4)ขณะขับห้ามโทรมือถือ
(5)ให้ใส่หมวกกันน้อค

ท่าน ยอมฟังหมดทุกข้อ ยกเว้นข้อสุดท้ายท่านไม่เห็นด้วย และท่านก็ไม่ยอมฟัง ตำรวจเขาจะยอมไหม อย่างนี้เรียกว่ายอมฟังไหม

ที่คริสตจักรก็เหมือนกัน ขอยกตัวอย่าง

(1)ไม่กินอาหารให้ห้องประชุมนมัสการ
(2)อภิบาลศิษย์ด้วยเซลล์
(3)ไม่รับศีลมหาสนิท ก่อนรับบัพติสมา
(4)ถวายสิบลด
(5)ต้องเรียนชั้นผู้เชื่อใหม่ก่อนรับบัพติสมา

ข้อต่างๆเหล่านี้ล้วนไม่ผิดศีลธรรมและอยู่ในขอบข่ายของคริสตจักร(ที่นี) ท่านเห็นชอบหมดตั้งแต่ข้อ 1-4 แต่ข้อ (5) ท่านไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่ข้อนี้เป็นไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม และไม่ได้อยู่นอกขอบข่ายอำนาจของคริสตจักร (ที่นี่) ท่านพิจารณาดูแล้ว ท่านไม่เห็นชอบ ท่านจึงไม่ยอมปฏิบัติ อย่างนี้เรียกว่ายอมฟังไหม


ประโยชน์ของการยอมฟัง


(1) ให้คุณประโยชน์กับผู้อยู่ใต้อำนาจ
เพราะว่าผู้ครอบครองนั้น เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่าน(โรม 13:4)
เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ (ฮีบรู 13:17)
(2) เป็นสติปัญญาให้เรา เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร (อฟ 5:21)
(3) ปกป้องเรา มีแต่เลี้ยงดูและทนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร
(เอเฟซัส 5:29) อำนาจปกครองเป็นเหมือนร่ม อยู่ในร่มก็ไม่เปียก ออกนอกร่มก็เปียก
แล้วศัตรูก็พร้อมโจมตี
(4) ทำให้เรามีอำนาจ ข้าพระองค์รู้ดี เพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า 'ไป' เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า 'มา' เขาก็มา บอกทาสของข้าพระองค์ว่า 'จงทำสิ่งนี้' เขาก็ทำ” (มัทธิว 8:9)
นายร้อยคนนี้เข้าใจอำนาจปกครองดี เขาอยู่ใต้นายพัน นายพันสังเขาอย่างไรเขาก็ทำตาม
เขาจึงมีอำนาจสั่งนายสิบที่อยู่ภายใต้เขา หากเขาไม่ฟังนายพัน มีหรือนายสิบจะฟังเขา
(5) ทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (อพยพ 18) โมเสสมอบหมายอำนาจให้พวกผู้ใหญ่ ที่ยอมฟังท่าน และกองทัพอิสราเอลจึงเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกองทัพ ในกองทัพถ้าต่างคนต่างคิดจะโจมตีศัตรูตามใจตัวเอง จะสำเร็จไหม
(6) เพิ่มพูน( กิจการ 6:1-7) ครับ ความเจริญของท่าน บ้าน สังคม ของท่านก็จะตามมา

Click ที่นี่เพื่อฟังคำเทศนา
Visitor 558

 อ่านบทความย้อนหลัง