ลูกในโอวาท 

              พระเยซูเป็นลูกที่อยู่ในโอวาท  

              พระเจ้าทรงออกแบบให้คนเราเติบโตขึ้นจากทารกน้อยเป็นผู้ใหญ่   ตอนเป็นทารก  เด็กช่วยตนเองไม่ได้เลย ต้องพึ่งพาอาศัยพ่อแม่ทุกอย่าง แต่เขาพัฒนาเรียนรู้ช่วยเหลือตนเอง   และก้าวเข้าสู่วัยเด็กอย่างรวดเร็ว  วัยเด็กซึ่งยังไม่ถึงวัยรุ่น  เด็กจะแสดงออกตามใจตนเอง  ใครมาห้าม สิ่งที่ตนอยากได้  ก็จะเกิดเรื่อง  เราเห็นภาพเด็กกระทืบเท้าร้องไห้ในห้าง ให้คุณแม่ซื้อไอสครีมตามใจแกอยู่บ่อยๆ   แกกำลังพัฒนาความพึงพอใจของตนเอง  พ่อแม่ซึ่งมีอำนาจก็ถูกท้าทายด้วยอำเภอใจของเด็ก 

วัยเด็ก

               “พระกุมารเยซูเติบโตขึ้น  แข็งแรงขึ้น  ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้า” (ลูกา 2:40)   พระองค์เรียนพระคัมภีร์ในธรรมศาลาอย่างเด็กยิวทั้งหลาย 

ผมเข้าใจว่าพระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึงพระเยซูวัยเด็ก คือตั้งแต่ช่วงพ้นวัยทารกน้อยถึงวัยรุ่น (อายุ 12 ปี)                        

            (1) “แข็งแรงขึ้น”  หมายถึงร่างกาย  การยืดตัว โตขึ้น  ถ้าจะถามผมว่า  เด็กที่โตขึ้นควรพัฒนาร่างกายอย่างไร  แน่นอนเขาควรกินอาหารที่เป็นประโยชน์   เราเรียนเรื่องสุขบัญญัติ 10 ประการ  ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนไทยเราสอนไม่บกพร่อง เรามีวิชาพลศึกษา การฝึกกายบริหาร เรามีการสาธิตวิธีแปรงฟัน  เรามีการนำอาหารครบ 5 หมู่ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาสาธิตให้ดู  แต่ความอยากของเด็ก  ก็ถูกพ่อค้าหัวใส  ล่อใจด้วยขนมกรอบ ลูก

อมลูกกวาดอีกเยอะ เด็กที่ฉลาดต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่กินตามใจปาก  นอนและตื่นเป็นเวลา  ไม่ใช่  ติดเกมส์ติดละคร ทีวีตามใจตา แล้วไปนั่งหลับในห้องเรียน  เรื่องเหล่านี้  พระกุมารสอบผ่านหมด  พระคัมภีร์สรุปว่า พระองค์ “แข็งแรงขึ้น”  

              (2) “ประกอบด้วยสติปัญญา”  นี่หมายถึง พระกุมารพัฒนาความคิด เมื่อเรียนได้วิชา ก็นำความรู้มาใช้  เด็กไทยถูกกล่าวขวัญกันว่า  เรียนหนังสือโดยการท่องจำ ไม่ใช้สมอง  ไม่รู้จักวิเคราะห์ค้นหาเหตุผล  วันนี้หลักสูตรเมืองไทยกำลังเปลี่ยนใหม่  คือฝึกฝนให้เด็กคิด  แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด  คนเรามีสิทธิ์ตั้งคำถามเพื่อค้นหาเหตุผล   ไม่แปลกที่ เมื่อพระกุมารเยซูไปกรุงเยรูซาเล็ม วัย 12 ขวบ  พระองค์เข้าไปซักถาม  โต้ตอบกับบรรดาธรรมมาจารย์ในพระวิหาร

              (3) “โตขึ้นในพระคุณของพระเจ้า”   แปลว่า  “โตขึ้นในความโปรดปราน”   คนที่พระเจ้าโปรดคือคนที่เชื่อฟัง พระเจ้าไม่โปรดคนดื้อดึง  พระกุมารเยซูวัยเด็ก พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่ดื้อดึง  พ่อแม่สอนอะไรก็เชื่อฟัง พระคัมภีร์สอนอะไรก็ทำตาม  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เด็กสอบตกมากที่สุด   ด้วยการอยากทำตามอำเภอใจ  แกจะถูกขัดใจเมื่อพ่อแม่สั่งสิ่งที่ตนไม่ชอบ  เด็กชอบกินของหวาน  ชอบเล่นสนุกเพลิดเพลิน  ชอบความสะดวกสบาย   แต่เมื่อเขาทำได้ตามใจก็ติดนิสัยเสีย  การเข้าเรียนในโรงเรียนตั้งแต่เช้า  วันจันทร์ถึงวันศุกร์   ทำการบ้านวันเสาร์  และไปโบสถ์วันอาทิตย์  จึงเป็นการสร้างวินัยให้เด็ก การถูกจำกัดค่าขนมในแต่ละวัน  เป็นการตีกรอบให้เด็กอยู่ในร่องในรอย  ถ้าดื้อดึงพระคัมภีร์ก็สอนให้พ่อแม่ลงวินัยลูก

 

วัยรุ่น

               “แล้วพระกุมาร(เยซู)ก็ลงไปกับเขา(โยเซฟ-มารีย์)  ไปยังเมืองนาซาเร็ธ   อยู่ใต้ความปกครองของเขา” (โยเซฟ-มารีย์)   (ลูกา 2:51)

                 พระคัมภีร์ตอนนี้  เปิดเผยให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า  นี่คือข้อความสรุปวัยรุ่นของพระเยซู  วัยรุ่น  หรือวัยทีน  เป็นวัยระหว่างอายุ 13 ปี ถึง 20 ปี  วัยรุ่นเป็นวัย  ที่การเป็นชายเป็นหญิงแยกออกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น   ความรู้สึกทางเพศก็สู่ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  กฎเกณฑ์ที่เรียนรู้  เราก็จะหาเหตุผลว่า  ทำไมจึงมีคำสั่งมาอย่างนั้นๆ   วัยนี้  ความรับผิดชอบในตัวเขาก็จะยิ่งทวีขึ้น  วัยรุ่น ชอบดูแบบ  แบบที่ดีของพ่อแม่มีอิทธิพลกับลูกมาก  พระเยซูมีตัวอย่างให้เห็น  มารีย์เป็นแบบของคุณแม่ที่ดี  มารีย์อยู่ในโอวาทของพ่อแม่  เธอรู้พระคัมภีร์ดีสังเกตจากบทกลอนที่เธอแต่ง (ลูกา 1:46-56) เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า( ลูกา 1:30)   คนที่พระเจ้าโปรดคือคนที่เชื่อฟัง  คนที่อยู่ในโอวาท  เธอเคารพผู้ใหญ่ ( ลูกา 1:39-45) โยเซฟเป็นคนมีธรรมะ  คืออยู่ในศีลธรรม ( มัทธิว 1:19 ) เป็นช่างไม้ขยันทำงาน  แน่นอนนอกจากแบบอย่างบุคคลอื่นๆในประวัติ ศาสตร์   พระองค์ทรงมีแบบอย่างที่ดีจากพ่อแม่  

                 เราที่เป็นพ่อแม่   เราต้องเป็นแบบอย่างให้ลูก  วันนี้ บ้านเมืองเรา มีตัวอย่างแย่ๆ ให้เด็กดูเต็มไปหมด   วัยรุ่นสามารถเชื่อฟังหรือขัดขืนคำแนะนำสั่งสอนของพ่อแม่   พระคัมภีร์กล่าวว่า  พระเยซูเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อแม่   แปลว่า พระเยซูทรงยอมฟัง (Submit) อยู่ภายใต้อำนาจปกครองที่พระเจ้ามอบให้โยเซฟและมารีย์     ทั้งสองสอนสั่งอะไร  พระองค์ก็นบนอบเชื่อฟังทุกอย่าง   ตรงกันข้ามกับ  “การยอมฟัง”(Submission)  คือ  “การขบถ”( Rebellion)  การขบถนี่  เป็นลักษณะที่ลูซิเฟอร์มีต่อพระเจ้า  มันไม่ต้องการให้พระเจ้าปกครอง   เป็นการหือต่ออำนาจ  วันนี้เราเห็นเรื่องนี้เต็มไปหมด

               ฟูเกท  ประธานมูลนิธิ การค้นคว้าพระคัมภีร์ ที่เมืองออสติน เทคซัส บอกว่า การขบถอาจแสดงออกมาเป็น 2 ลักษณะ 

(1)แสดงออก (Active Rebellion)  พ่อแม่สั่งให้ลูกปิดทีวี  ไปดูหนังสือ  แกตอบว่า “ไม่ปิด” แล้วก็ดูต่อ  หรือ   เป็นการเผชิญหน้าอำนาจของพ่อแม่ตรงไปตรงมา  ทั้งๆที่เขาควรจะตอบ

ว่า “ครับ”  แล้วก็ปิดทีวีไปดูหนังสือตามคำสั่ง

(2)เก็บไว้ข้างใน (Passive Rebellion)  นี่คือสไตล์ที่เด็กบางคนใช้  แม่สั่งให้ไปกวาดพื้น  ตัวเองอาจลุกขึ้นไปทำ  แต่ในใจขมขื่น   แสดงออกที่สีหน้า  ไม่พอใจ  บ่น  หรือพูดลับหลังว่าไม่เห็นด้วย บางคนอาจพยักหน้า  แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ทำตาม  หรือซังกะตายทำ  บางคน ฉลาดกว่านั้น  อาจทำตามที่สั่ง  แต่ไม่ทำตามวิธีของพ่อแม่ที่สั่ง   เขาจะค้นหาวิธีของตนเองขึ้นมา  เพราะเห็นว่าการทำตามทุกอย่างเป็นการเสียเหลี่ยม  หรือหยิ่งนั่นเอง  และถ้าเขาสามารถทำโดยวิธีอื่น  ที่ไม่ใช่ตาม Order ของพ่อแม่ เขาก็จะรู้สึกว่าเขาคือผู้ชนะ 

การยอมฟังของพระเยซูต่อโยเซฟ และมารีย์ไม่ได้เป็นตามทั้งสองแบบนี้   พระองค์เต็มพระทัย  ถ่อมพระทัย  เชื่อฟังโยเซฟและมารีย์ทุกอย่าง  “อยู่ใต้การปกครองของเขา”

 

ผลที่ตามมา

      ในพระธรรมลูกา 2:52  สรุปผลว่า  “พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา   ในด้านร่างกาย   และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า   และ

ต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย”

             บางคนบอกว่า  คนโง่คือคนที่ไม่มีความคิดอ่านอะไรเป็นของตนเอง   ถ้าฉลาดก็ต้องแสดงให้เห็นว่า  เรามีกึ๋น  ไม่เชื่อใคร ไม่ฟังใคร 

             ตรงกันข้ามครับ  

             พระคัมภีร์บอกว่า  โดยการที่พระเยซูในวัยรุ่นยอมอยู่ในโอวาทของพ่อแม่  พระองค์ฉลาดขึ้น  ทำไมไม่ฉลาดขึ้นละครับ  ผู้ใหญ่เขาคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อน  ทั้งเขามีเจตนาที่ดี เขาจึงบอกทางดีให้เรา  พอเราทำตาม  เราก็เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  โยเซฟเก่งงานไม้  เข้าลิ้นไม้ทำโต๊ะเก้าอี้  เมื่อสอน พระเยซูก็ฟัง  พระองค์ก็ get งานช่าง   และทำงานไม้เก่งเหมือนโยเซฟ  

             มารีย์เป็นแม่บ้านรู้ว่าอาหารชนิดใดมีประโยชน์  อาหารชนิดใดไร้คุณค่า  เมื่อปรุงอาหารให้พระเยซูก็ทรงรับด้วยความเต็มพระทัย  ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น    พระบิดาก็ชื่นชอบพระเยซู  ทรงตรัสว่า  “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”  พ่อแม่

หลายคนปรารภกับลูกว่า  “ข้าฯหนักใจหรือเหนื่อยใจกับเจ้ามาก สั่งอย่างทำอีกอย่าง”   การขบถ ไม่ได้อะไรมา  ตรงกันข้าม คนที่อยู่ในโอวาทเติบโตขึ้นทุกด้าน   “เป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งปวงด้วย”    ครับ ใครเห็นใครก็รัก  ไม่ใช่เฉพาะพ่อแม่  พี่น้อง ญาติใกล้เคียง  เพื่อนบ้าน  หรือครูในโรงเรียน เท่านั้นที่ชอบคนยอมฟัง  แม้แต่การออกไปทำงานที่ไหนๆ  เขาก็จะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน 

 

 





Visitor 314

 อ่านบทความย้อนหลัง