คริสตจักรเซล

 

   ศิษยาภิบาล

 

ผมไม่อยากให้เรื่องที่เราคุยกันในประชุมประจำปี   อยู่ในวงของพี่น้องที่เข้ามาร่วมฟังการสัมมนาเท่านั้น  แต่อยากให้พี่น้องทุกๆคนในคริสตจักรได้  ทราบว่าเราได้คุยเรื่องอะไรกัน  จึงขอนำประเด็นหลักๆ  มาเขียนในสูจิบัตรฉบับนี้

                 4 ปีที่ผ่านมา ผมสอนพี่น้องเรื่อง

                (1) รู้จักพระคริสต์ สร้างศิษย์พระองค์

                (2) คริสตจักรสมดุล 

                ผมเล่าให้พี่น้องในสัมมนาฟังว่า  เมื่อผมอธิษฐานว่า  สัมมนา คราวนี้ผมควรจะพูดเรื่องอะไร  คำตอบที่ผมได้รับ คือ “กลุ่มเซลล์”  ผมมั่นใจว่า  พระเจ้าทรงปรารถนาให้คริสตจักรเพิ่มพูนทั้ง ในกทม. และต่างจังหวัดผ่านกลุ่มเซลล์  เราจึงคุยกัน  เรื่อง

                 (1) ทำไมจึงจัดกลุ่มเซลล์

                 (2) จะจัดกลุ่มเซลล์วันไหน เวลาใด

                 (3) รูปแบบการจัดกลุ่มเซลล์

                 (4) สถานที่ประชุมกลุ่มเซลล์

                 (5) รายการประชุมกลุ่มเซลล์

                 (6) ประกาศโดยกลุ่มเซลล์

                 (7) ผู้นำกลุ่มเซลล์

                 (8) พระวิญญาณและการใช้ของประทานในกลุ่มเซลล์

 

         ในฉบับนี้  ผมจะขอพูด เพียงประเด็นเดียว คือ

         “ทำไมจึงจัดกลุ่มเซลล์”  

 

         1. เป็นหลักมาจากพระคัมภีร์

          ก .ในพระคัมภีร์เดิม 

             เยโธร  สอนโมเสส  (อพยพ 18:13-27)

 

ตอนโมเสสนำคนอิสราเอล  เดินทางมาในถิ่นทุรกันดาร คนยิวมีจำนวนนับล้าน  มีปัญหาเยอะมาก  โมเสสว่าความโดย ให้คนยิวพากันมาหาท่าน  แล้วท่านก็แก้คดีทีละรายๆ  แก้ทุกเรื่อง  แก้คนเดียว  โมเสสเก่ง  แต่คดีมันเยอะโมเสสทำไม่ทัน ผมนึกถึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล  ลางทีเรารอกว่าครึ่งวันยังไม่ถึงคิวของเราเลย  เพราะคนไข้มันเยอะ นี่ขนาดหมอมีหลายคนนะครับ  ผลสุดท้าย คนที่มารอก็เหนื่อย  หมอก็เหนื่อย หมดแรงกันไปทั้งสองฝ่าย  เยโธรพ่อตาโมเสสเห็นเข้าก็ สั่นหัว  บอกโมเสสว่า  “ท่านทำอย่างนี้ไม่ดี ทั้งท่านและประชาชนที่มาหาท่านนั้น คงจะอ่อนระอาใจ  เพราะภาระอันหนักนี้เหลือกำลังของท่าน  ท่านไม่สามารถทำแต่ผู้เดียวได้” (18)

      

        แล้วเยโธร ก็แนะนำโมเสส  ว่า “จงเลือกคนที่สามารถจากพวกประชาชน  คือคนที่ยำเกรงพระเจ้า  ไว้ใจได้  ไม่กินสินบน  ตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคน  พันคนบ้าง  ร้อยคนบ้าง  ห้าสิบคนบ้าง  สิบคนบ้าง  ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ  ส่วนคดีใหญ่ๆ  ก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน  คดีเล็กๆน้อยๆ ให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านก็จะเบาลง  เพราะเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน  ถ้าทำดังนี้  และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว  ท่านก็จะสามารถทนได้  ประชาชนทั้งปวงก็จะไปยังที่อาศัยของเขาด้วยความสงบสุข” (17-23)

 

        การดูแลคนหน่วยย่อยที่สุด ของเยโธร  คือ “สิบคน”  ก็เหมือนการจัด “กลุ่มเซลล์” 

       

        งานอภิบาลศิษย์  เป็นสำคัญ  เป็นงานใหญ่

         ปกติ ศิษยาภิบาล เป็นคนทำ  เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น  ศบ.ย่อมไม่สามารถทำได้ทั่วถึง  วิธีที่ดีที่สุด  ก็คือการมอบหมายงานให้แก่คนที่เหมาะในการเป็นผู้นำ และกระจายกันอย่างเป็นระบบ  ดูแลคนใน “กลุ่มย่อย” (Small group)   เหมือนเยโธแนะนำโมเสส

 

ข. ในพระคัมภีร์ใหม่

         พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง  พระองค์มิได้เลี้ยงลูกแกะฝ่ายวิญญาณ  โดยพระองค์เอง  แต่ทรงเลือก  มอบหมาย  และปั้นสาวก “พระองค์เสด็จขึ้นภูเขา  และพอพระทัยจะเรียกผู้ใด  ก็ทรงเรียกผู้นั้น  แล้วเขาได้มาหาพระองค์  พระองค์จึงทรงตั้ง  สาวก 12  คน ไว้ให้อยู่กับพระองค์  เพื่อใช้เขาไปประกาศ”  (มาระโก 3:13-14) 

        “เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ก็พาเหล่าสาวก 12 คนไป  และตรัสกับเขาตามทาง…...”  (มัทธิว 20:17)

         งานพระองค์คงไม่ประสบความสำเร็จ  หากมิได้มีการปั้น และมอบหมายงาน

 

          พระเยซูสอนตามบ้านเรือน

(มัทธิว 13:36; 17:25, มาระโก 9:33, 10:10;ลูกา 7:36)

          ทั้งส่งสาวกออกไปตามบ้านเรือน ,ครัวเรือน  (ลูกา 10:5-7),

          คริสตจักรรุ่นแรก ก็สอนตามบ้านเรือนเช่นเดียวกัน

(กิจการ 2:46;10:25;12:12,16:32;18:7;20:20,7-8;28:30-31)

        

          เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  “กลุ่มเซลล์”  เป็นระบบอภิบาลศิษย์ในพระคัมภีร์ใหม่

 

          คริสตจักร  พอโตขึ้นเกิน 30-40 คน การดูแลโดย ศบ. คนเดียวก็ทำไม่ได้แล้ว คริสตจักรที่มีสมาชิกเป็นร้อยขึ้นไป  ถ้าจะให้ดูแลสมาชิกทั่วถึง  ก็ยิ่งต้องจัดกลุ่มเซลล์

 

      2.  คริสตจักรที่เพิ่มพูน ในปัจจุบัน ใช้กลุ่มเซลล์ทั้งสิ้น

         ตัวอย่างที่ผมยกมาให้ดู  อาจเป็นตัวอย่างของคริสตจักรใหญ่มากๆ แต่ที่ยกมาเพื่อให้เห็นว่า  แม้คริสตจักรใหญ่ขนาดมีคนเป็นเหมื่นเป็นแสน  เมื่อมีระบบเซลล์  ก็สามารถ  ดูแลลูกแกะให้ทั่วถึงได้

 

1) คริสตจักร แซดเดิลแลก วัลลีย์ คอมมูนิตี้ ( อจ.ริค วอเรน ) ที่อเมริกา

(2) คริสตจักร พระกิตติคุณสมบูรณ์กลาง ( อจ. โช ยองกี ) ที่เกาหลี

(3) คริสตจักร พันธกิจ คาริสเมติก นานาชาติ (MCI) (อจ. ซีซาร์ แคสเทลลานอส)  ที่โคลัมเบีย

     

      3. เหตุผล

 

        อันนี้ไม่ได้อ้างพระคัมภีร์  หรือ อ้างตัวอย่าง  แต่อ้างหลักเหตุผล

       เราลองคิดถึงความเป็นจริง  ไม่มีใครสามารถ ดูแลทุกข์สุขของใครได้ทั่วถึง  ถ้ามีจำนวนมากเกินไป  ผมเคยเป็นศิษยาภิบาล  เมื่อคริสตจักรยังเล็กอยู่  มีสมาชิก 20-30 คน ผมไปเยี่ยมสมาชิกระหว่างสัปดาห์ วันอังคาร  พุธ  พฤหัส  เสาร์  ไม่ไปวันศุกร์ เพราะมีประชุมอธิษฐาน คนไหน มีปัญหาก็ให้คำแนะนำแก้ไข  อธิษฐานเผื่อ  ไม่นานก็ไปเยี่ยมซ้ำ นี่ไม่นับว่าต้องทำงานอื่น  เช่น การเตรียมสอน อธิษฐาน สอนเด็ก ประกาศ ทำบัญชี ฯลฯ  แค่นี้ก็ทำแทบไม่ทันแล้ว  แต่ก็ทำได้  ทำมาแล้วด้วย พอมีคนใหม่เข้ามาในคริสตจักรคนหนึ่ง  ก็ติดตามไปเยี่ยมเยียน สมาชิก ก็มักคาดหวังให้ ศบ. เป็นคนทำ เพราะถือว่าตนไม่ถนัด ตนไม่มีเวลา หรืออาจคิดว่า จ้าง ศบ.มาแล้ว  ผลที่ตามมา ก็คือโบสถ์ไม่โต

  (1) เพราะ เก่งอยู่คนเดียว  คนอื่นอภิบาลศิษย์ไมได้  ประกาศไม่เป็น

  (2) เพราะ ทำไม่ทัน  เหมือนคนจับปลาสองมือ จับปลามาได้ก็หลุดไปหมด นำคนใหม่มา คนเก่ามีปัญหา เยี่ยมคนใหม่ แก้ปัญหาคนเก่าทำได้เมื่อมีคนไม่มาก แต่พอมากขึ้นหน่อยก็ติดตามไม่ทัน โบสถ์ไม่โต

                 

      คนส่วนมากก็คิดให้คริสตจักร แก้ไขปัญหานี้  โดย

     (1) ตั้งผู้ช่วย ศบ. (เป็นคนงานเต็มเวลา) ขึ้นมาช่วยงานเพิ่ม

     (2) ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้น ติดตามเยี่ยม  ผมเคยทำทั้ง 2 อย่าง

 

       แต่ผมก็เป็นพยานได้ว่า  ไม่ได้แก้ปัญหาตามเคย

      เพราะสมาชิกยังอภิบาลศิษย์ไม่เป็นเหมือนเดิม และผู้ช่วยจะทำงานนี้ได้สักกี่คน ระบบเช่นนี้ เป็นความคิด ที่สมาชิกไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร คอยรับการอภิบาลศิษย์อย่างเดียวเหมือนเดิม และสมาชิกก็รับใช้ไม่เป็นเหมือนเดิม

                  

       เขาเคยแบ่งคนในโบสถ์ออกเป็น 2 ประเภท   ประเภทแรก  คือ (1) พระ (ที่เราเรียกว่าผู้รับใช้เต็มเวลา)  (2) ฆราวาส ( หมายถึงคนที่ทำงานอาชีพ )  

        งานฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าการสอนพระคำ อธิษฐานเผื่อผู้ป่วย เยี่ยมเยียน เป็นงานของ “พระ”  ฆราวาสมีหน้าที่หาถวายเงินให้ “พระ” ทำงาน  ส่วนฆราวาส คือ ผู้รับการอภิบาลศิษย์ จาก “พระ” 

 

        ผมแอนตี้ความเห็นเรื่องนี้อย่างมาก  

        แต่ก็ยอมรับว่า  แก้ให้หลุดไปจาก ความเห็นของคริสเตียนทั่วไปได้ค่อนข้างยากยิ่ง  เหตุที่ต่อต้านเพราะ ผมรู้ดีว่าไม่ใช่หลักพระคัมภีร์ และไม่เคยทำให้โบสุถ์โตได้เลย  ด้วยเหตุนี้เราจึงมีการค้นหาของประทาน และเชิญชวนพี่น้องทั้งคริสตจักรมาร่วมทำงาน

 

        คริสตจักรเซลล์ในเกาหลี

        ปี 1977 ผมเดินทางไปประเทศเกาหลี  ไปเห็นโบสถ์อาจารย์โช ยองกี  ตอน นั้นเขามีสมาชิก 20,000 คน เขามีกลุ่มเซลล์เป็นพันกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มเซลล์ของเขาเป็นผู้หญิงส่วนมาก ผู้หญิงเหล่านี้ เป็นฆราวาสทั้งนั้น ฆราวาส  คือคนที่ปกติ  ทำงานอาชีพที่ทำงานบ้าง เป็นแม่บ้านบ้าง ไม่มีใครเป็น “พระ” หรือเป็นนักเทศน์สักคน  โบสถ์อาจารย์โช เขาไม่รับคนไม่จบโรงเรียนพระคัมภีร์มาเป็นผู้รับใช้ อาจารย์เหล่านี้มีอยู่ แต่ก็มีไม่มากพอไปนำกลุ่มเซลล์เป็นพันๆกลุ่ม ผู้นำกลุ่มเซลล์จำนวนมากจึงเป็นคนที่ไม่ได้เรียนพระคริสตธรรม  แต่ศึกษาพระคัมภีร์จากโบสถ์

 

ในประชุมประจำปี ปีนี้  

           ผมได้ชี้ให้พี่น้องพันธกิจ  และผู้ร่วมประชุม สร้างคริสตจักรให้เป็นคริสตจักรเซลล์  กลุ่มเซลล์  ทำงานระหว่างสัปดาห์  คือ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์  ถ้างานคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นการประกาศ อภิบาลศิษย์ ร้องเพลง ละคร รวีฯ หรืออะไรก็ตาม อยู่ในวันอาทิตย์เท่านั้น  แต่วันอื่นๆ เราเงียบเฉย เราก็เสียโอกาสอย่างยิ่งยวด หรือในระหว่างสัปดาห์ มีพี่น้องหยิบมือเดียวทำงาน ก็ย่อมเสียโอกาสเช่นเดียวกัน  ผมจึงเห็นว่า ระบบกลุ่มเซลล์ เป็นการอภิบาลศิษย์ และการประกาศที่มีประสิทธิภาพ และทั่วถึง

 

          นิมิตหมาย  นิมิตใหม่

          ผมขอบคุณพระเจ้า และชื่นชมพี่น้องจำนวนหนึ่ง 30-40 คนกำลังเริ่มต้น  มาเรียนพระคัมภีร์กับผมในวันอาทิตย์ 15:00 - 16:30 น. ทั้งเรียนพระคัมภีร์  20-30 คนในวันอังคาร 19:30-21:00 น. เพื่อจะไปจัดกลุ่มเซลล์ระหว่างสัปดาห์  พี่น้องเหล่านี้ส่วนมาก เป็น ฆราวาส  ทำงานอาชีพของท่านเอง  แต่มาจัดกลุ่มเซลล์  ผมมองเห็นแสงเรืองรอง มองเห็นอนาคตสดใส และเชื่อว่า เราจะเติบโตขึ้น ขยายงานยิ่งขึ้น  พร้อมรองรับคนใหม่ที่เข้า  และพร้อมประกาศกับคนในชุมนุมชนที่พี่น้องอาศัยอยู่ ผมหนุนใจ ให้พี่น้องทุก ๆ คนมีส่วนร่วม หนุนใจให้คริสตจักรในพันธกิจให้ทำเช่นเดียวกัน เราจะเติบโตขึ้นไปพร้อมๆกัน

 

         ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 

 

 

 






Visitor 349

 อ่านบทความย้อนหลัง