พระเยซู,บุตรมนุษย์

ศ บ.

 

 

         พระเยซูตรัสตอบเขาว่า…“ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์  นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์  คือบุตรมนุษย์” (ยอห์น 3:13)

         นามพระเยซู  มีชื่อเรียกมากมาย  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า  พระเยซู เรียกพระนามของพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์”  มากที่สุด  ในพระธรรมมัทธิวมี  32 ครั้ง  มาระโก 15 ครั้ง  ลูกา  26 ครั้ง  และในพระธรรมยอห์น 12 ครั้ง  ไม่มีใครเรียกพระเยซูว่า “บุตรมนุษย์” แม้กระทั่ง ท่ามกลางสาวกของพระองค์   มีอยู่เพียงครั้งเดียว   เมื่อพวกยิวใช้ศัพท์นี้  ย้อนถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า?” (ยอห์น 12:34)  

          ทำไมพระองค์จึงใช้นามนี้มากที่สุด แน่นอน  ต้องเป็นเป็นศัพท์ที่อธิบายถึงพระองค์เอง ผมชื่อ “สมเกียรติ” ถ้าผมจะใช้สรรพนามพ่วงท้ายชื่อ ผมคงเรียกตนเองได้หลายอย่าง  เช่น   สมเกียรติ  คนใต้ , สมเกียรติ  คนคอน , เภสัชกร  หมอยา  ผู้แทนขายยา  เซลล์แมน  ครู  อาจารย์  ศิษยาภิบาล  คริสเตียน  ผู้รับใช้  พ่อ พี่  ฯลฯ  ซึ่งเรียกได้หลายอย่าง  แต่ชื่อที่ผมเลือกใช้  อธิบายตนเอง  เวลาพูดกับคนส่วนมากน่าจะมีนัยยะสำคัญระหว่างผมกับผู้ฟังมากที่สุด   จึงมีคำถามว่า พระเยซูทรงมีนัยยะอะไร   เมื่อทรงเรียกพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์”

 

        1.  บ่งบอกว่า ทรงเป็นพระเจ้า แต่บังเกิดเป็นมนุษย์  

          เราทั้งหลายต่างก็เป็นมนุษย์  เป็นคน  ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะเรียกตนเองว่า  ผม “สมเกียรติ” เป็นมนุษย์เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ว่าเราต่างเป็นมนุษย์กันทั้งนั้น   หรือผมจะเรียกตนเองว่า  ผม “สมเกียรติ”  “คนไทย” นี่ก็แปลกอีก  ที่ภูเก็ตมีฝรั่งคนหนึ่งผิวขาว ผมสีทอง  พูดภาษาไทยใต้ชัดมาก  ชัดขนาดถ้าได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัว  ต้องหลงคิดว่าเป็นเสียงคนปักษ์ใต้พูด  ผมจำชื่อแกไม่ได้ สมมุติว่าแกชื่อสมิท เวลาแกแนะนำตัว  แกพูดว่า  “ผมสมิท  คนไทย”  อย่างนี้มีนัยยะ  ว่าบรรพบุรุษแกมิใช่คนไทย  แต่แกมาเกิดเมืองไทย  อาจมีพ่อเป็นฝรั่งแม่เป็นไทย อะไรทำนองนั้น  นายสมิท จึงเรียกตนเองว่า  “สมิท คนไทย” 

           พระเยซู  ทรงเป็น พระเจ้า  เป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพ  ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ร่วมกับ พระบิดา  และพระวิญญาณบริสุทธิ์   ทรงเป็นอยู่ตั้งแต่ก่อนโลกนี้เกิด  แต่พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์  มีเลือดมีเนื้ออย่างเราๆท่านๆ   พระองค์ทรงฤทธานภาพของพระเจ้าทุกสิ่ง  ทรงสามารถเปิดตาคนตาบอด  เปิดหูคนหูหนวก เปิดปากคนใบ้  รักษาคนโรคเรื้อน   ทำให้คนง่อยลุกเดินได้  เรียกคนตายให้ฟื้นขึ้น   สอนสัจจะธรรมที่ไม่มีมนุษย์คนใดสอนได้    อย่างนี้พระองค์ต้องเป็นพระเจ้า   แต่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา   ภายนอกผมเห็นนายสมิท เป็นฝรั่งผิวขาวชัดๆ  แต่แกบอกว่าแกเป็นคนไทย

      2.  ทรงเลือก เข้ากับมนุษย์ เพื่อช่วยเรา

      ผมขอยกตัวอย่างนายสมิทอีกที     แท้จริงผมเคยเห็นลูกครึ่งไทยฝรั่ง   หลายคน บางคนพ่อเป็นฝรั่งแม่เป็นไทย  ลางคนพ่อเป็นไทยแม่เป็นฝรั่ง   เป็นนางงาม เป็นนักร้อง นักดนตรี  นักวิทยาศาสตร์  เป็นนักกีฬาก็มี  คนเหล่านี้มักมีความสามารถน่าชมเชย   เขามีสิทธิเลือกสัญชาติของตนเองก็ได้อย่างอิสระ   ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น  เวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์   เขาจะบอกว่าเขาเป็นฝรั่งหรือเป็นคนไทย  ถ้าเราเห็นเขาเก่ง  มีความสามารถสูงหน้าตาดี คว้ารางวัลชิ้นโตๆ  สร้างชื่อเสียงโด่งดัง  เราคนไทยก็นึกอยากให้เขาเป็นไทย  แต่เขาอาจปฏิเสธว่า เขามิใช่คนไทย  เขาเป็นฝรั่ง   ฟังแล้ว  ทำเอาเราคนไทยอัพเซท  ผิดหวังไปตามๆกัน  

           ตรงกันข้าม ถ้าเขาพูดเต็มปากเต็มคำว่า  “ผมนายสมิท  คนไทย”  ได้ยินแค่นั้นเราก็ร้อง  ว้าว!  เรานึกรักเขาขึ้นมาเป็นกอง   ยิ่งถ้าเห็นเขาสรวลเสเฮฮา  ไม่ถือตัว  กินน้ำพริก แกงไตปลาได้  แหลงใต่ได้ชับปึ๊ง  ยังงี้  เรียกว่าชื้อหัวใจเราได้ไปเลย   พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า  บังเกิดจากครรภ์ของนางมาเรีย  โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์   คู่มือพระคัมภีร์ทุกเล่มเรียกพระองค์ว่า  ทรงเป็นบุตรพระเจ้า  และทรงเป็นบุตรมนุษย์   เสด็จมาบังเกิดในโลก  ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์   เดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา  เวลาพระองค์เรียกพระองค์เอง  ไม่พบว่าพระองค์เรียกพระองค์ว่า  “เรา  เยซู  บุตรพระเจ้า”  สักคำ  มีแต่เรียกพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์”  ยังงี้จะไม่ให้ตกหลุมรักพระองค์ได้อย่างไร   ยิ่งใช้ชีวิตคลุกคลีตีโมงกับ คนบาป คนเก็บภาษี  คนที่พวกยิวเรียกว่านอกรีต  อย่างไม่ถือตัว  เพื่อช่วยคนเหล่านี้  ยิ่งชอบพระองค์มากยิ่งขึ้นไปอีก  ไม่แปลกหรอก ที่พระเยซูเสด็จไปที่ไหนๆ   ผู้คนพากันแห่แหนไปหาพระองค์มืดฟ้ามัวดิน  วันที่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม  พวกยิวปรารภว่า  “ดูซิ  โลกทั้งโลกตามพระองค์ไปหมดแล้ว”  ตรงกันข้าม  พวกธรรมาจารย์  พวกมหาปุโรหิตที่ผู้คนพากันหลบหนีตีจาก จนพระวิหารแทบร้างเป็นป่าช้า   อย่าลืมน่ะครับ  อยากได้หัวใจคน  เราต้องติดดิน นับตนเองเข้ากับคนอย่างพระเยซู 

 

           3.  เป็นคนเหมือนเรา  จึงทรงเข้าใจเรา

                เราจะช่วยคนอื่นได้อย่างไร  ถ้าเราใช้ชีวิตแยกจากเขา  เราจะเข้าใจความทุกข์ของคนได้อย่างไร  ถ้าเราเองไม่เคยสัมผัสสิ่งที่เขาสัมผัส  คนที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูน หรือชมภาพยนต์เรื่องซุปเปอร์แมน  จะเห็นว่าผู้เขียนพลอตเรื่องให้ ซุปเปอร์แมนเป็นคนดี  มีธรรมะ มีน้ำใจช่วยเหลือคน มีพลังเหนือมนุษย์  เหาะเหินเดินอากาศได้  ในเวลาอันสั้นเขาเหาะไปปราบวายร้าย  ช่วยคนถูกรังแกให้ปลอดภัย  ดูแล้วมันส์  สะใจ   แต่ชีวิตปกติสามัญของซุปเปอร์แมน  ที่ไม่มีใครรู้  เขาคือ นายคลาร์ค  เคนท์  นักข่าวของ เดลีย์ แพลเน็ท หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น  ที่ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับชาวบ้าน  พบคนทุกข์ทีหนึ่ง ก็แปลงร่างไปช่วยคนทีหนึ่ง   ถ้านายคลาร์ค แยกตัวเองไม่สุงสิงกับใคร  เขาจะรู้ทุกข์สุกดิบของคน  และจะช่วยคนได้อย่างไร  

          พระเยซูพระบุตรพระเจ้า มีฤทธิ์ยิ่งกว่าซุปเปอร์แมน  พระองค์ทรงฤทธิ์ มีอำนาจเหนือมาร  สามารถสยบพวกผีทั้งหลายลงใต้ฝ่าพระบาท   แต่พระองค์มิจำเป็นต้องแปลงร่าง  ใครๆก็รู้จักพระเยซูว่า  เป็นลูกของโยเซฟ  ช่างไม้ที่เมืองนาซาเร็ธ   พระเยซูเจริญเติบโตขึ้นในบ้านยากจน  มีน้อง ๆ ทั้งชายและหญิง 5-6 คน  เรียนหนังสือในธรรมศาลา เหมือนเด็กยิวทั้งหลาย  พระองค์ค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างเรา   จากทารกสู่วัยเด็ก  ทรงเข้าสุหนัต  เมื่อเกิดมาได้  8 วัน  จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น  จากวัยรุ่นโตขึ้นเป็นคนหนุ่ม และเป็นผู้ใหญ่  ความรู้ของพระองค์ก็ค่อยๆทวีขึ้นจากการเรียนรู้  เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเยซูได้จำเริญขึ้น  ในด้านสติปัญญา และในด้านร่างกาย” (ลูกา 2:52) 

          เราโตขึ้นโดยการถูกยั่วกิเลสให้ ทำผิดทำบาป  มารใช้อบายมุขมาล่อลวงเราอย่างไร  พระเยซูก็ถูกล่อลวงอย่างนั้น (มัทธิว 4:1-11)    พระองค์หิวเวลาอดอาหาร (มัทธิว 4:2)  กระหายน้ำ  คอแห้งผากที่ไม้กางเขน (ยอห์น 19:28)  ทรงง่วงเวลาอดนอน ทรงบรรทมหลับในเรือ  ( มาระโก 4:38)   เวลาทำงานหนักๆ ติดต่อกันนานๆ  พระองค์ทรงอ่อนแรง  ทรงประสงค์พักเอาแรง ให้หายเหนื่อย(มาระโก 6:31)

           ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู  กล่าวว่า “เรามิได้มีมหาปุโรหิต  ที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา  แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ  ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงปราศจากบาป” (ฮีบรู4:15)  ด้วยเหตุนี้  เมื่อพระองค์ถูกเฆี่ยน  และถูกตรึงด้วยตะปูที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงมีประสบการณ์ความเจ็บปวดทั้งสิ้นของความเป็นมนุษย์   คนไม่เคยจน จะเข้าใจคนจนได้อย่างไร   คนไม่เคยถูกคนอื่นด่า  เหยียดหยาม  เข้าใจผิด  ถูกนินทาว่าร้าย  จะเข้าใจคนที่ถูกคนอื่นกระทำกับเขาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร   ผมเคยเป็นเซลล์แมนขายยา   ผมเคยนำสินค้าชั้นดีไปเสนอขาย เป็นสัปดาห์ ออกไปเสนอขายทุกวัน  เช้ายันเย็นๆ   ไม่มีคนซื้อสักคน  ไม่มีออร์เดอร์สักใบ  ผมเข้าใจความรู้สึกของเซลล์แมนดี   พระเยซูอยูกินกับคนบาป  และคนเก็บภาษี  พระองค์ถึงเข้าใจพวกเขา (มาระโก 2:16) 

 

4. พระองค์ผู้เป็นมนุษย์อย่างเรานี่แหละ จะช่วยเราจนถึงที่สุด ความจริงนาม  “บุตรมนุษย์” ที่พระเยซูใช้เรียกพระองค์เอง  ถูกบรรยายเป็นคำทำนายล่วงหน้าใน ดาเนียล 7:13-14  ว่าบุตรมนุษย์ จะได้รับการยกย่อง  มีอำนาจ มีศักดิ์ศรี   “บรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลายจะปรนนิบัติท่าน”  ซึ่งหมายถึงการไถ่โทษ ผู้เชื่อที่กลับใจใหม่เข้ามาสู่คริสตจักร และวันหนึ่งพระองค์กลับจะมารับเขาทั้งหลาย 

           ผมนึกถึง   โยเซฟ  ก่อนจะถูกพวกพี่พี่ขายเขาไปเป็นทาส  โยเซฟเคยเล่าความฝันอันรุ่งโรจน์ของการช่วยกู้ชีวิต ในอนาคต  ให้พวกพี่ๆ และพ่อแม่ฟัง  แต่ไม่มีใครเข้าใจ   ยูดาห์พูดถึงโยเซฟว่า”เขาเป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน”  (ปฐมกาล 37:27)  พระเจ้าทรงส่งโยเซฟ ไปยังอียิปต์ ปูทางการช่วยกู้ครอบครัวสู่ความมั่งคั่งอย่างไร (ปฐมกาล 45:4-8)  พระเจ้าทรงส่ง พระเยซู “บุตรมนุษย์”  นำการไถ่โทษมาช่วยกู้เราทั้งหลายสู่ศักดิ์ศรีอย่างนั้น  

            พระองค์ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเรา  ทรงสัญญาให้เรามั่นใจในอนาคตอันรุ่งโรจน์   “เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จด้วยพระสิริแห่งพระบิดา พร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์  เมื่อนั้น จะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน” (มัทธิว 16:27)   “เมื่อนั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์  จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้  แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก” (มัทธิว 24:30) 

 

            ผมแปลเป็นพระดำรัสของพระเยซู  บุตรมนุษย์ สั้นๆว่า  “วางใจเราเถอะ  ชัยชนะที่เราประสบจะเป็นชัยชนะของท่านด้วย”

 

 

            ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

 








Visitor 338

 อ่านบทความย้อนหลัง