นิก วูจิซิค (ชีวิตไร้ขีดจำกัด)

Nick Vujicic (Life without Limits)

ศจ.สมเกียรติ กิตติพงศ์

 

 หลายปีก่อน ผมเคยนำ Youtube ของคุณ นิก วูจิซิค ชายผู้ไร้แขนไร้ขา แต่มีพลังในชีวิตเยี่ยม มาให้พี่น้องในโบสถ์ดู  เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาท่านเดินทางมาประกาศเป็นพยานทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่  หลายท่านคงได้ไปฟัง  หรือ ดูใน Youtube เดือนนี้หนังสือของนิก 2 เล่มถูกแปลเป็นภาษาไทย วางขายในร้านหนังสือทั่วไป คือ “ชีวิตไร้ขีดจำกัด” (Life without limits)  และ “หยุดไม่อยู่” (Unstoppable) ผมจึงขอนำเรื่องของ นิก มาเล่าให้ฟัง  อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็ให้เข้าดูใน Youtube  หรือหาหนังสือของเขามาอ่าน  ว.วชิรเมธี  เขียนคำนิยมไว้ว่า “ความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย  แทนที่จะเป็นข้อจำกัด  มันถูกเปลี่ยนให้เป็นศักยภาพ  อย่างถึงที่สุดในแทบทุกด้าน  แทนที่จะเป็นจุดด้อย มันกลับถูกเปลี่ยนให้เป็นจุดเด่น  เขากลายเป็น idol  คนมากมายทั่วโลกอย่างเหลือเชื่อ”

 

         นิก เกิดในครอบครัวคริสเตียน ในพื้นที่ซึ่งแต่ก่อนคือ ประเทศยูกสลาเวีย  แต่ปัจจุบันคือประเทศ เซอร์เบีย   ครอบครัว ได้อพยพมายังออสเตรเลียตอนที่ทั้งสองยังเด็ก  เนื่องจากการกดขี่ของระบอบคอมมิวนิสต์  ญาติๆ หลายคนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา  และคานาดา   นิก เกิดเมื่อวันที่  4  ธันวาคม 1982  ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย  คุณแม่ชื่อ ดุชกา เป็นพยาบาล คุณพ่อชื่อ บอริส ทำงานด้านธุรการบัญชี  ทั้งเป็นศิษยาภิบาล ฆราวาสด้วย  นิก มีน้องชาย คนหนึ่งชื่อ  แอรอน และน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อ มิเชลล์          

  นิก เล่าว่า “คุณแม่ตั้งท้องผมเป็นลูกคนแรก  ตอนท่านอายุ 25 ปี  แม่เคยเป็นผดุงครรภ์ในกุมารเวช  อยู่ในห้องคลอดดูแล แม่และเด็กหลายร้อยคน  แม่รู้ดีว่าจะปฏิบัติอย่างไรตอนตั้งครรภ์ ..ท่านไปหาหมอดีที่สุด   แต่ท่านอดเป็นห่วงไม่ได้   “ฉันหวังว่าลูกคงไม่เป็นอะไรนะ”  มีการอุลตราซาวด์สองครั้งระหว่างตั้งครรภ์ แต่หมอไม่พบอะไรผิดปกติ  หมอบอกว่าเด็กเป็นเพศชาย  แต่ไม่ได้พูดว่าเด็กไม่มีแขนมีขาเลย”  คำแรกที่ท่านถามหมอ เมื่อลูกคลอด “ลูกฉันเป็นปกติหรือเปล่าค่ะ”   หมอเงียบ  เวลาผ่านไปหมอไม่นำตัวผมมาให้แม่ดูซักที  ท่านยิ่งสงสัย  รู้สึกว่าจะมีอะไรผิดปกติ  หมอห่อตัวเอาเด็กมายืนมุมห้องอีกฟากหนึ่ง  ส่วนพ่อสังเกตเห็นตอนผมคลอดว่าแขนข้างหนึ่งของผมหายไป  ท่านรู้สึกอึดอัดในท้อง เขาพาพ่อออกไปจากห้อง  แม่ได้ยินผมร้อง  ท่านรู้สึกสบายใจ  แต่ด้วยประสบการณ์ ท่านอ่านสีหน้าวิตกของหมอและพยาบาลออก  แม่ซัก คาดคั้นจน หมอต้องบอกว่า ลูกเป็น “โฟโคมีเลีย”  ท่านรับไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนพ่อนั้นยังตกตลึงไม่หาย  ในที่สุดหมอต้องบอกออกมาว่า “ลูกชายของคุณไม่มีทั้งแขนและขาครับ”

         นิกเล่าว่า โศกเศร้ากันไปทั้งโรงพยาบาลและโบสถ์ หลายคนสงสัยว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรักแล้ว  ทำไมพระองค์จึงยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” ไม่มีใครยินดี ไม่มีดอกไม้  จนพ่อต้องไปซื้อดอกไม้มาให้แม่เอง  นิกชมพ่อแม่ว่า “ถ้าผมต้องรับสถานการณ์อย่างท่าน  ผมไม่แน่ใจว่าผมรับไหว”  คุณพ่อคุณแม่บอกนิกว่า   “พระเจ้ามีแผนการบางอย่างสำหรับผม  ผมถูกลิขิตมาเพื่อสนองพระประสงค์ของพระเจ้า”  คุณพ่อคุณแม่ของนิก มีความเชื่อในพระเจ้า  ท่านทุ่มเท รักษาใจของลูกพิการอย่างดีที่สุด  นิกเล่าว่า   “ท่านระมัดระวังถนอมน้ำใจผม  ผมไม่ลืมสิ่งที่ท่านทั้งสองทำให้ผมตั้งแต่เล็กจนโต   ท่านพิสูจน์ความรักที่มีให้นับครั้งไม่ถ้วน  ท่านไม่เคยพูดสักนิดว่า  ผมไม่ใช่ลูกในฝันอย่างที่ผมอยากมี”

          ตอนนิกอายุ 10 ขวบ เขาเคยท้อแท้มากจนถึงอยากฆ่าตัวตาย  เพราะรู้สึกว่าตัวเขาเป็นภาระของทุกคน และไมมีอนาคต  แต่พอนิก คิดถึงภาพว่าเขาจากไป  พ่อแม่ น้องสองคนยืนอยู่ที่หลุมศพ ร้องไห้  โทษตัวเองว่าพวกเขาควรทำอะไรๆ ให้ผมมากกว่านี้  และข่มขื่นไปตลอดชีวิต  นิกกลับใจ   ภายหลังเมื่อพ่อทราบ  ท่านพูดกับนิกว่า “เราทุกคนพร้อมทำทุกอย่าเพื่อลูกเสมอ”  เขามั่นใจ  พ้นออกมาจากความเศร้า  พ่อแม่พยายามเลี้ยงลูกพิการ อย่างเด็ก “ปกติ”  มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ด้วยความพยายามของพ่อแม่ นกได้เรียนในโรงเรียนประถม  และมัธยม ในโรงเรียนระบบการศึกษาสามัญ  นิกฝึกหัดช่วยตนเอง เขาเคยพยายามใช้ขาเทียม  แต่ที่สุดหมอก็ลงความเห็นว่า  เขาช่วงตัวเองด้วยอวัยวะที่มีได้ดีกว่า  เขาพลิกลำตัว เตะ ผลัก ยันตัว  นิ้วเท้า 2 นิ้วที่ติดกัน หมอผ่าตัดแยกออก  ทำให้นิกสามารถใช้นิ้วเท้าแทนนิ้วมือเพื่อจับปากกา เขียนหนังสือ ใช้รถเข็นแบบอีเล็กโตรนิกส์ที่สั่งทำพิเศษ  ใช้คอมพิวแตอร์ มือถือ   นิกฝึกใช้อย่างคล่องแคล่ว  นิกพิมพ์คอมได้เร็วถึง 43 คำต่อนาที นิกพบสัมผัสพระเจ้าเมื่ออายุ   15 ปี  นี่คือช่วงเวลาที่เขาได้ขอให้พระเจ้าอภัยความผิดบาป  สัมผัสและรู้จักพระเยซูคริสต์อย่างแม้จริง นิกรับบัพติสมาเมื่ออายุ 19 ปี

 

           นิกเคยอธิษฐานขอให้เขาหายอย่างอัศจรรย์ เขากล่าวว่า “เมื่อการอัศจรรย์ไม่เกิด ตัวเขาก็เป็นการอัศจรรย์เสียเลย”  เพราะพระเจ้า นิกมีชัยเหนือความพิการของตนเอง  นิกพูดด้วยอารมณ์ขันว่า “ผมมีคอแข็งแกร่งเหมือนวัวพันธุ์บราห์มัน  และมีหน้าผากแข็งราวกับลูกกระสุน” น้องๆ  ไม่ใช้วิธีสงสารนิก  แต่ยอมรับอย่างที่นิกเป็น โดยการเย้าแหย่ กลั่นแกล้งต่างๆ ให้นิกสนุกสนาน แทนความขมขื่น  นิกแปรงฟัน  ว่ายน้ำคล่องแคล่วราวกับปลาฉลาม  เขาได้แรงบันดาลใจในการฝึกเล่นโต้คลื่นไม้กระดาน เมื่อตอนที่เขาพบ  เบทานี แฮมิลตัน นักเล่นกระดานโต้คลื่นระดับโลกที่ฮาวาย   ในปี 2008 เธอเป็นพยานว่า  พระเจ้าช่วยเธอให้รอดจากโดนฉลามกัด  วันนี้เขาเล่นคลื่นไม้กระดานได้ดีเยี่ยมเหมือนคนปกติ  นิกฝึกตีลูกกอล์ฟลงหลุม ตีเทนนิส  ตีกลองอีเล็กโทรนิค จับแก้วน้ำ หวีผม โกนหนวด เตะฟุตบอล และแม้แต่กระโดดร่ม   “ผมไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายๆ”  เขากล่าว “พระองค์ทรงใช้ร่างกายที่ไม่ปกติของผม  ได้ทรงมอบความสามารถกำลังใจ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อให้ผู้คน” 

        นิกมีความสามารถในด้านคณิตศาสตร์  เขาเรียนจบปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์บัณฑิต เอกวางแผนการเงิน และเอกการบัญชีจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิท ในปี 2003  เมื่อตอนเขาอายุ 21 ปี  แต่ด้วยใจอยากช่วยเหลือผู้คนให้มีกำลังใจและพบพระเจ้า  นิกตัดสินใจเป็นนักพูด  คุณพ่อเคยเสนอแนะว่าเขาควรเปิดสำนักงานบัญชีของตัวเอง 

  แต่นิกมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า  นิกเรียกตัวเขาเองว่า “ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ”  เขายืนยันว่า   “พระเจ้าใช้ผมให้เข้าถึงคนในโรงเรียน ในโบสถ์ เรือนจำ  สถานสงเคราะห์เด็ก โรงพยาบาล สนามกีฬา  และหอประชุมนับไม่ถ้วน  ที่ดียิ่งกว่านั้นผมได้กอดผู้คนนับเป็นพันๆ เมื่อพบหน้ากัน  ทำให้มีโอกาสบอกให้เขาตระหนักว่าตนเองมีคุณค่ามากเพียงใด  ผมยินดีให้พวกเขามั่นใจว่า  พระเจ้ามีแผนการสำหรับเขา”

 

          โรสซาลีน่า แม็คเคย์ ผู้ก่อต้งมูลนิธิเรนโบว์รูม  เล่าว่า “คุณอาจเคยผ่านตาคลิปวิดีโอ ที่นิกไปพูดที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง  ให้เด็กนักเรียนมัธยมฟัง  เล่นจังหวะด้วย “ขาไก่” และแกล้งล้มท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของผู้ฟัง  เขาบอกเด็กๆว่า เราต้องจบด้วยความแข็งแกร่ง  แล้วใช้ศีรษะค่อยๆ ดันตัวขึ้นอย่างอัศจรรย์ ใครบ้างที่กลั้นน้าไว้อยู่กับภาพเด็กๆที่เดินแถวกันเข้ามากอดนิก  ดิฉันเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้กอดให้กำลังใจนิก  แต่กอดด้วยขอบคุณต่างหาก  ที่นิกให้กำลังใจพวกเขา”  แม็คเคย์กล่าวต่อไปว่า “เขาไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่  แต่เขาศรัทธาและสัมพันธ์กับพระเจ้า”

          นิกเคยคิดว่า “คงไม่มีหญิงคนไหนมารักเรา  เราไม่มีแขนจะกอดเขาด้วยซ้ำ ถ้าเรามีลูก เราก็อุ้มลูกไม่ได้เหมือนกัน แล้วเราจะทำงานอะไร  ใครจะจ้างเรา”  กระนั้นความเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงประทานเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้ เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเขาเสมอ  เขากล่าวว่า “อย่าถอดใจเรื่องความรัก”

 

         นิกพบรัก  เมื่อเดือนเมษายน ปี 2010  นิกได้ไปบรรยายที่ตึกเบลล์ทาวเวอร์  นอกเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส   เขากล่าวว่า “ในความว้าเหว่  ผมอธิษฐานขอให้พระเจ้าหาเนื้อคู่ให้ ในประชุมแห่งนั้นเขาได้พบกับ คะนะเอะ มิยะฮะระ  ลูกครึ่งชาวแมกซิกันและญี่ปุ่น  โดยไม่ได้รู้กัน นิกทูลพระเจ้าว่า “ขอพระเจ้าทรงดลบันดาลให้คะนาเอะรักผม”  ในขณะที่เธอก็ภาวนาว่า “ให้ผมรักเธอ”  เรื่องความรักของทั้งสองน่าตื่นเต้นมาก  นิก อายุมากกว่า คะนะเอะ 2-3 ปี  เขากล่าวว่า “คะนะเอะ ยึดหัวใจผม  เธอคือของขวัญวิเศษ รองจากพระเยซูคริสต์”  ทั้งสองหมั้นกันเมื่อเดือนกรกฎาคม  2011   และแต่งงานกัน เมื่อวันที่ 12  กุมภาพันธ์  2012 “พ่อแม่ น้องชาย น้องชาย น้องสาว ลุงป้าน้าอา  ลูกพี่ลูกน้องทั้งหมดล้วนรักผมอย่างไร้เงื่อนไข”ก่อนแต่งพ่อแม่ถามผมให้มั่นใจว่า  การไร้แขนขาของผม  ไม่ใช่กรรมพันธุ์ เพราะน้องชายและน้องสาวของผมมีแขนขาครบ  ส่วนคะนะเกะเอง มั่นใจว่า  แม้ลูกที่เกิดมาจะไร้แขนขา เธอก็พร้อมที่จะรักเขา  ความรักของทั้งสองเกิดขึ้นเพราะ  ต่างคนต่างรักพระเจ้า  และต่างคนต่างแสวงหาการทรงนำให้พบคนที่รักพระเจ้าและรักเขา และเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์  2013 หนูน้อย  คิโยชิ วูจิซิก  ปริญญารักของทั้งสองก็ลืมตามาดูโลก  สมบูรณ์ดีทุกประการ

 

     ผมนำเรื่องของนิกมาฝากพี่น้อง เพราะผมเองก็ได้รับพระพรเวลาดูคลิปเรื่องราวของเขา ไม่ว่าเราจะขาดตกบกพร่อง แค่ไหนเพียงไร หากเรามีความเชื่อในพระเจ้า วางใจพระองค์ ไม่ยอมแพ้  ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต เอาชนะความอ่อนแอ  อ่อนด้อยของเรา อุปสรรคนานานั้นพระเจ้าสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งได้  นิก เป็นแบบให้เห็นว่า ล้มแล้วต้องลุก ไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งสางสารตัวเอง ตรงกันข้ามพระเจ้าสามารถใช้เราให้เกิดประโยชน์แก่คนในสังคมได้มากที่สุด  วันนี้ เขามีอายุ 31 ปี  นิกพูดว่าเรื่องของเขา และของท่านยังไม่จบ มันยังเป็นบทต้นๆของชีวิตเท่านั้น ให้เราก้าวไปข้างหน้าสู่ความรุ่งโรจน์ ด้วยความหวังใจในพระเจ้า

    ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ








Visitor 822

 อ่านบทความย้อนหลัง