รับผิดชอบกอบกู้  เพราะรู้จักพระเจ้า

 

ศ.บ

 

“เขาจะใช้ความสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา    แต่ประชาชนผู้รู้จักพระเจ้าของเขาทั้งหลาย  จะยึดมั่นและปฏิบัติงาน”  (ดาเนียล 11:32)

     ดาเนียลบทที่ 11 คือคำทำนายที่ดาเนียลได้รับจากพระเจ้า  ถึงการขึ้นและลงของอาณาจักรต่าง ๆ ก่อนที่เรื่องราวต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจริง  ถึงวันนี้  ประวัติศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ดาเนียลทำนายนั้นเป็นความจริง 

     สำหรับข้อความข้างบนนี้  เป็นการกล่าวถึง  แอนทิพัส เอพิฟาเนส  ที่ปกครองซีเรีย  ในปี กคศ. 170  ก่อนพระเยซูเสด็จมาบังเกิด  กษัตริย์ซีเรียพระองค์นี้ชั่วช้ามาก เป็นกษัตริย์เจ้าเล่ห์ “เป็นคนน่าเกลียด”  ขึ้นครองราชย์ ด้วย “การสอพลอ” ชิงขึ้นครองราชย์แทนพระโอรส  เมื่อกษัตริย์เซลูคัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์  ดาเนียล 11:21) พอพระองค์ขับไล่ศัตรู คืออียิปต์ ออกไปได้ก็ฉวยจังหวะนั้น ตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายกว่านั้น  คือ หลังการยกทัพไปตีอียิปต์  ถูกโรมขู่ จึงถอยทัพกลับ (ดาเนียล 11:30)  คงมีพระอารมณ์ค้าง เหมือนมารเข้าสิง  จึงเล่นงานยิว เข้าไปในพระวิหารเอารูปเคารพ “พระซุส”  เทพเจ้าของกรีก ไปไว้เพื่อเผาบูชา (ดาเนียล 11:31) โดยการสอพลอของพระองค์ มียิวจำนวนหนึ่งเชื่อพระองค์ และพระองค์จะปูนบำเหน็จรางวัลให้ ยิวที่ไม่เห็นด้วย พระองค์ลงโทษ  มีชาวยิว 8,000 คนถูกฆ่า  40,000 คนถูกขายเป็นทาส และ 40,000 คนถูกจับเป็นเชลยศึก  ถึงกระนั้นก็มียิวที่เชื่อในพระเจ้า คือ ยูดาส แมคคาบี ลุกขึ้นมาต่อต้าน (ดาเนียล 11:32)

 

       ผู้อ่านพระธรรมดาเนียลทุกคนยอมรับว่า  แอนทิพัส เอพิฟาเนส  เป็นภาพของ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ในยุคปัจจุบัน ที่ต่อต้านผู้เชื่อ  และคริสตจักร    

          ผมเล่ามาเสียยาว 

        ประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงคือ  ในยุคสุดท้าย  มารยิ่งรุกหนัก เพื่อต่อต้านไม่ให้คนมาเชื่อถือในพระเจ้า  นำให้ผู้เชื่อหลงใหล   ออกนอกทางพระเจ้า  “ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริงจะยืนมั่น  และปฏิบัติงาน” (ดาเนียล 11:32) 

 

1. ให้เรายึดมั่นในพระวจนะ

      วิธีทำให้คริสเตียนหลงทาง  เปาโลเตือนทิโมธีว่า ยุคสุดท้าย  “คนจะถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ เพราะในบรรดาคนเหล่านั้น  มีคนที่แอบไปตามบ้าน  แล้วลวงหญิง ที่เบาปัญญา  หนาด้วยบาป  และหลงใหลไปด้วยตัณหาต่าง ๆ ไปเป็นเชลย หญิงพวกนี้จะฟังทุกคนที่พูด แต่ไม่อาจที่จะเข้าถึงหลักแห่งความจริงได้เลย” (2 ทิโมธี 3:5-7)

  ยิวพวกหนึ่ง โอ เค กับการที่ เอพิฟาเนส เอาพระซุส มาไว้ในพระวิหารได้อย่างไร  ผมเดาว่า พระองค์คงอ้างถึงพระองค์ไหน ๆ ว่าท้ายที่สุดก็โยงใยไปถึงพระเจ้านั่นเอง 

    วันก่อนผมคุยกับคนหนึ่ง  เขาพูดถึง การมีภรรยาหลายคนว่า  เรื่องนี้ขึ้นกับวัฒนธรรม  บางสังคมเขาถือว่าเป็นเรื่องปกติ  และให้เรายึดถือตามนั้น  

       เปาโลยังแนะด้วยว่า ยุคสุดท้าย ขณะที่คนชั่ว และคนเจ้าเล่ห์จะเลวลง  ทั้งคนล่อลวงคนอื่น  และถูกคนอื่นล่อลวงด้วย แต่ฝ่ายท่านจง  ดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียรู้แล้ว  และได้เชื่ออย่างมั่นคง  ท่านรู้แล้วว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด” 

 

    ที่สำคัญ เราต้องยึดพระคัมภีร์แข็งแรง  ไม่ใช่ ตามความเห็นของโลก ไม่มียุคไหน  ที่เราจะสามารถค้นหา ความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายดาย สะดวกเท่ายุคนี้  มือถือสามารถเปิดกูเกิล ดูยูทูป  และความเห็นสารพัด จะพรั่งพรูมาให้เราอ่าน  ท่านต้องวินิจฉัยตามพระคัมภีร์  เช่น  โลกพิจารณา  ให้เกียรติคนจากการแต่งกายที่ดูดี  แต่พระเจ้ายกย่องคนที่มั่งมีความเชื่อ (ยากอบ 2:1-5)  โลกให้คะแนนความสำเร็จ เพราะทำงานจนมั่งคั่ง เป็นเศรษฐี     แต่พระคัมภีร์ ให้คะแนนความสำเร็จที่เขาเลือกแผ่นดินพระเจ้าก่อน (ยากอบ 1:9-10; มัทธิว 6:33)  คนเป็นใหญ่ของโลกคือ คนวางมาดเป็นผู้ใหญ่  แต่คนเป็นใหญ่ของพระเยซู คือคนที่ปรนนิบัติคนอื่นอย่างคนใช้   (มัทธิว 20:26-27)  เปาโลให้เราระมัดระวัง  พระกิตติคุณ    ที่ต่างไปจากพระคัมภีร์ (กาลาเทีย 1:6-9;1 ทิโมธี 6:3) 

2. พระวิญญาณทรงทำงานในเรา

     “ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริงจะยืนมั่น และปฏิบัติงาน” ดาเนียลพูดถึง คนที่รู้จักพระเจ้าจริง ยืนมั่น   หลายสิ่งหลายอย่างที่เราวินิจฉัย ทุกวันนี้ อาจไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์ สมัยพระคัมภีร์ ไม่มีบุหรี่ ไม่มีไนต์คลับ ไม่มีอินเทอร์เน็ท ไม่มีหวยไต้ดิน หวยบนดิน หวยออนไลน์ ไม่มีการพนันบอล ไม่มีสลอท แมชชีน ไม่มีตู้เกมส์ ฯลฯ พอมีคนมาถามผมว่า โอ เค ไหมกับสิ่งเหล่านี้ เขาถามมากไปกว่านั้น ว่ามีพระคัมภีร์ข้อไหนเขียนห้ามเอาไว้บ้าง ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรใช่ไหม 

       ผมต้องตอบคำถามเหล่านี้  ว่าดีไม่ดีอย่างไร    เข้าหลักพระคัมภีร์ข้อไหน   เช่น  คนที่สูบบุหรี่ กินเหล้า  เบียร์  ไวน์   ผมก็ตอบว่า ร่างกายเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า  เสพย์ หรือกินของมีพิษ จะไม่ทำลายพระวิหารหรือ  ที่ซื้อหวยซื้อเบอร์ หรือทำงานวันอาทิตย์ อยู่เป็นเดือนๆ จึงขาดโบสถ์เป็นประจำ  เมื่อผมถามว่า คุณรู้สึกอย่างไร  เชื่อไหม  80-90 % เขาจะตอบผมว่า   เขาเองก็ไม่สบายใจ  เมื่อก้าวไปใจก็ฟ้อง  ถามผมว่าทำไมใจมันฟ้อง  ผมก็บอกได้ว่า  พระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำงานคู่ควบกับจิตวินิจฉัยผิดและชอบของท่าน  ไม่ใช่มนุษย์น่ะครับ  พระวิญญาณเองรักท่าน  จึงเตือนท่าน  มีน้อยรายมากที่ตอบว่า  ไม่รู้สึกอะไร 

 

3. เราต้องเรียนรู้จักพระลักษณะของพระเจ้า

         ยกตัวอย่างสักเรื่อง  พระเจ้าทรงชอบธรรม  ยุติธรรม

         เราทำผิดได้ เพราะเราอยู่ในยุคพระคุณ  การไปสวรรค์ ไม่ใช่พึ่งความดีอันใดของเราเอง แต่พึ่งความดีของพระเยซู  เมื่อเราเชื่อพระเยซู  เรารอด เราไปสวรรค์ได้ ส่วนคนภายนอกที่ถูกพิพากษาตกนรก  ก็เพราะเขาไม่เชื่อพระเยซู  การเชื่อพระเยซูจึงเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์   มันไม่ฝืนกับพระลักษณะของพระเจ้าที่ยุติธรรมหรือ    คริสเตียนมีภรรยา 2-3 คน พระเจ้าไม่เอาผิด ไปสวรรค์ได้  เพราะเชื่อพระเยซู  ส่วนคนที่ยังไม่เชื่อ  มีภรรยาน้อย ต้องพินาศเพราะมิได้เชื่อพระเยซู  พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้า ประทานแก่ทุกคนตามการกระทำของเขา หากเรามิได้กลับใจเสียใหม่ เพราะพระองค์ไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด ไม่ว่าเป็นคนยิว หรือคนต่างชาติ  (โรม 2:6-11)

 

4. รับผิดชอบ กอบกู้ เพราะรู้จักพระเจ้า 

     “ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริงจะยืนมั่น  และปฏิบัติงาน” (ดาเนียล 11:32) 

      ตามประวัติ  ต้องขอบคุณพระเจ้าที่มีชาวยิวจำนวนไม่น้อย ไม่ยอมก้มหัวให้กับระบบศาสนาจอมปลอม  จนถึงกับยอมตาย และทนทุกข์ ในที่สุด เอพิฟาเนส เสียสติและสิ้นพระชนม์ที่เปอร์เซีย ใน กคศ 163   ยูดาส เมคคาบี และพี่น้องในตระกูลของเขา ช่วยปฏิสังขรณ์ พระวิหารให้กลับมาสู่สภาพเดิม บูรณะทุกสิ่งขึ้นมาใหม่  ดังคำทำนายของดาเนียล เขาเป็นคนอธิบายให้ประชาชนเป็นอันมากเข้าใจพระทัยพระเจ้า (ดาเนียล 11:33)   ครับ  เขารับผิดชอบ กอบกู้ เพราะรู้จักพระเจ้า  

 

              ขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนกับเรา       





Visitor 297

 อ่านบทความย้อนหลัง