ทำอะไรให้พระเยซูทรงชื่นพระทัย

“กระทำให้พระองค์ท่านยินดี” (สดุดี 45:8)

ศบ.

 

 

 

ผมสอนชั้นผู้เชื่อใหม่ทุกวันอาทิตย์ ระยะหลังมีผู้มาเข้าชั้นเรียนจำนวนมาก มากเต็มห้องเกือบมีจำนวนมากเท่าๆ กับ พี่น้องที่มานมัสการรอบแรก ภรรยาและผมรับสิทธิพิเศษ นั่งทานอาหารมื้อเที่ยงกับคนใหม่ ซึ่งมักเป็นคนที่เพิ่งรับเชื่อ เราสังเกตดูพี่น้องเหล่านี้ และเห็นว่า พี่น้องยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างคุณไพทูรย์และภรรยา ที่มาจากคลองเคย ตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก ถึงวันนี้ ผมสังเกตว่าคุณไพทูรย์ มีความสุขสดชื่นเปลี่ยนแปลง ไปมาก ถ้าจะถามผมว่าทำไมพี่น้องจึงเบิกบาน คำตอบง่ายๆ ก็คือเพราะพี่น้องเหล่านี้พบ สัมผัสความรักของพระเยซู ผลของพระวิญญาณอย่างหนึ่งคือ ความปิติยินดี ใครก็ตามที่มารู้จักพระเจ้า แล้วยิ่งหดหู่ หน้านิ่วคิ้วขมวดก็แปลก เพราะการรู้จักพระเยซูเป็นส่วนตัว ย่อมทำให้เรายินดีล้นพ้น จนบางทีทำให้เราฮัมเพลง ร่าเริง มีความสุข

 



แต่สิ่งที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ คือ การทำให้พระเยซูทรงปิติยินดี สดุดี 45 :8 กล่าวถึงความหวานชื่นในงานอภิเษกสมรส ของคู่บ่าวสาว ซึ่งหมายถึง พระเยซูผู้เป็นเจ้าบ่าว และเราที่เป็นผู้เชื่อเป็นเจ้าสาวของพระองค์ ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ในบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลาย ไม่มีใครยินดีเท่าพระองค์ และเราซึ่งเป็นเจ้าสาวสามารถ “กระทำให้พระองค์ท่านยินดี”
พระเยซูยินดีในเรื่องอะไร

เยซูทรงยินดีเมื่อเราดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระองค์
“เราสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์ เพื่อความยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม” (1 ยอห์น 1:3-4)
เหมือนคู่สามีภรรยา ที่รักกันดีวันแรก และยังคงรักมั่นต่อกันในวันเวลาต่อ ๆ มา ใกล้ชิด ไม่เหินห่าง เปิดเผย มีอะไรก็คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ว่ากันว่า ความสนิทชิดเชื้อของสามีภรรยา ในสังคมปัจจุบัน ยิ่งนานวัน มักยิ่งห่างเหินกันทุกที นอนกันคนละเตียง คนละห้อง คนละบ้าน แต่งงานใหม่ ๆ คุยกันได้ทุกเรื่อง พอนานวันต่างฝ่ายต่างเงียบ ปิดปาก อมพะงำ เมื่อนำมาเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซูแล้ว ภาพอย่างนี้มันตรงกันข้าม พระองค์ทรงร่าเริง มีความสุขเวลาเราใกล้ชิดพระองค์ สนทนา ระบายความในใจให้พระองค์ฟัง ดาวิด คุยทุกเรื่องกับพระเจ้า ทั้งในยามปกติ เมื่อดีใจ โกรธ หรือกลัว ท่านจึงได้ฉายาว่า “บุรุษผู้อยู่ใกล้พระทรวง” ยังไงล่ะ พระองค์ปิติยินดีเมื่อใด

2. พระเยซูทรงยินดีเวลาเราอยู่ในกฎศีลธรรม
พระเยซูตรัสว่า หากเรายึดมั่นในความรักของพระองค์ ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ จะทำให้ความยินดีของพระองค์ดำรงอยู่ในเรา ( ยอห์น 15:9-10)
เราเรียนแล้วว่า พระบัญญัติข้อใหญ่ของพระเยซู มี 2 ข้อ (1) รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ สุดกำลังความคิด (2) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระองค์เศร้าพระทัยแน่ หากเราทำบาป หากเรารักสิ่งอื่นมากกว่ารักพระองค์ คงไม่มีสามีคนไหน มีความสุขใจ หากภรรยาที่ตนอยู่กิน ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมา นอกใจ แอบไปมีชู้ หรือแม้แต่เที่ยวพูดจาเกาะแกะและเล็มสาวคนอื่น ในความสัมพันธ์กับพระเยซูก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงชื่นพระทัยเมื่อเรารักเดียวใจเดียว พระเจ้าต่อว่าคนยิวที่หันไปหารูปเคารพว่า เป็นองุ่นเปรี้ยวไปเสียได้ยังไง ทั้ง ๆที่ปลูกครั้งแรกมันหวานดี หากเราทำผิดสิ่งใด และจิตสำนึกมันฟ้อง ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่าพระ-วิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเสียพระทัย พระเยซูเศร้าพระทัย เราก็สมควรกลับมาจัดการชีวิตให้ถูกต้อง

 


3. พระเยซูทรงยินดี เวลาเรารักกัน
“ให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และความยินดีของเราเต็มเปี่ยม พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน” (ยอห์น 15:11-12) พระเยซูมีความสุข เวลาที่พระองค์เห็นเรารักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ห่วงใยกัน อภัยให้กัน อดทนต่อกัน ผ่อนหนักผ่อนเบากันและกัน

4. พระเยซูทรงยินดี เวลาเรานำคนมาหาพระเจ้า
“จะมีความยินดีในสวรรค์ เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่” ( ลูกา 15:7 )
พระเยซูทรงเล่าคำอุปมาว่า เจ้าของและเพื่อนบ้านดีใจยิ่ง เมื่อนำแกะหายกลับมาบ้านได้ เมื่อค้นหาเหรียญหายเจอ เมื่อลูกน้อยหลงหายกลับบ้าน ในชีวิตการรับใช้ของผม ผมพบว่า ใครสักคนหนึ่งจะยอมกลับใจ สำนึกผิดสารภาพผิดมิใช่เป็นเรื่องง่าย คนเรามีอีโก้ มีศักดิ์ศรี มีสังคมรอบตัว มีอดีต มีอะไรพะรุงพะรังเยอะแยะมากมาย วันหนึ่ง เขาประเมินตีราคาดูแล้ว เห็นว่าสิ่งต่าง ๆเหล่านั้นเป็นดังหยากเยื่อ เขาตัดสินใจมาหาพระเจ้า มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง ไม่แปลกที่พระเยซูตรัสว่า สวรรค์ยินดี หาเราจะให้พระเยซูยินดี เราต้องมาหาพระเจ้า และนำคนหลงทางมาหาพระองค์เช่นเดียวกัน แท้จริงเราน่ายินดี เวลาที่คนรักยินดี แต่คงประหลาดเหมือนกัน หากพระองค์ยินดี แต่เราเฉยๆ หรือแถมขุ่นเคืองซะอีก มันจะไม่เข้าข่ายพี่ชายบุตรน้อยหรือ

5. พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์เวลาสัตย์ซื่อ
เรารับผิดชอบ ทำให้ความสามารถที่มอบให้ เกิดผลกำไร
“ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดี และสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงเปรมปรีดิ์ และร่วมสุขกับนายเจ้าเถิด” ( มัทธิว 25:21)
ตามคำอุปมานี้ “นาย” หมายถึง “พระเยซู” พระองค์ทรงมอบทรัพย์ให้เรานำไปลงทุน เมื่อเรารับแล้ว เราถ้าเราไม่ขี้เกียจนำไปลงทุนจนเกิดผลกำไร วันหนึ่งนายมาเช็ดดู พระองค์พอพระทัย พระองค์จะทรงยินดีกับความสำเร็จของเรา พระเจ้าให้ความสามารถแก่เราแต่ละคน เช่น “ตะลันต์” ในการร้องเพลง วาดเขียน คอมพิวเตอร์ ทำอาหาร ทำการค้า ฯลฯ ให้”ของประทานฝ่ายพระวิญญาณ” เช่น เผยแพร่ เลี้ยงดูลูกแกะ หนุนใจ เตือนสติ สอนพระคำ วางมือรักษาโรค ปรนนิบัติ บริจาค ฯลฯ ความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้ ทรงคาดหวังให้เราก่อให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น กับแผ่นดินพระเจ้า หากเราเอามาก่อประโยชน์กับตนเอง หรือ ฝังดินไว้ ไม่ช่วยเหลือใคร พระองค์จะยินดีได้อย่างไร ตรงกันข้าม เมื่อเราสัตย์ซื่อสร้างกำไรจากความสามารถที่ทรงประทานให้ พระองค์ทรงชื่นพระทัยอย่างแน่นอน

6. การฝันถึงอนาคต เพื่อช่วยคนให้รอด เป็นความยินดีของพระเยซู
“พระองค์ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้น ไม่เป็นสิ่งคัญ” ( ฮีบรู 12:2 )
มันไม่มีภาพอันโหดร้ายรุนแรง น่าอับอายอันใด มากเท่ากับการแบกกางเขนไปยังหลักประหาร จนถึงการถูกตรึงต่อหน้าต่อตา คนทั้งเมือง บ้านผมที่นครศรีฯ อยู่หน้าศาลจังหวัด ภาพที่ผมเห็นคุ้นตา สมัยก่อน เวลาเขาพาผู้ต้องหามาศาล เขาใส่ตรวนมา ผมนึกสงสารคนเหล่านั้นเสมอ เพราะโทษที่จะรับ ทั้งอายคนด้วย คนที่เห็นไม่มีใครกี่คนคิดว่าศาลตัดสินผิดหรือถูก ส่วนมาก ลงความเห็นว่าศาลตัดสินถูก และเขาคือคนชั่วช้าทั้งนั้น วันที่พระเยซูไปยังหลักประหารก็คงคล้ายกัน มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นความไม่เป็นธรรม แต่ส่วนมาก คงคิดว่าปีลาตตัดสินใจถูก พระองค์ทั้งเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่พระองค์ยินดี ยินดีได้ยังไง งงครับ พระคัมภีร์ว่า ยินดี เพราะทรงแลเห็นอนาคต ของคนที่จะได้รับการช่วยให้พ้นบาป ยินดีที่การไถ่โทษกำลังจะเกิดขึ้น ยินดีที่คนจะเปลี่ยนแปลง มีชีวิตใหม่

วันนี้หากเราทุกข์ เราถูกใส่ความ อับอายขายหน้า คนเข้าใจเราผิด คนประณามเรา ซึ่งเรารู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง แต่เราทำถูก ทำสิ่งดีเพื่อช่วยคนส่วนรวม เราต้องเอาอย่างพระเยซู คือ ไม่ถือว่า การที่คนประณามเราผิดถูกๆ เป็นเรื่องสำหลักสำคัญอะไร เรามองข้ามช็อต ไปถึงอนาคต แล้วเราก็ยิ้มได้ อย่างพระองค์

 

7. เมื่อเราใช้ชีวิตฉลาด พระเยซูทรงยินดี
“บุตรชายที่ฉลาด ทำให้บิดายินดี” (สุภาษิต 10:1)
หนังสือสุภาษิต แปลคำว่าฉลาด ต่างไปจากที่คนไทยหลายคนเข้าใจมากเลย
ฉลาดตามพระคัมภีร์ไม่ใช่ฉลาดอย่างศรีธนขัย หลายคนมองว่า ถ้าทำมาหากินเก่ง มีเงินเยอะ แม้แต่คดโกง ก็เรียกเขาว่า “ฉลาด” แต่พระธรรมสุภาษิต เรียกว่า “โง่” คนฉลาดต้องสัตย์ซื่อ แม้จะต้องทำงานด้วยอาบเหงื่อตากน้ำ อดมื้อกินมื้อก็ตาม
คนฉลาดในพระคัมภีร์คือคนเชื่อฟังพระวจนะ คนฉลาดสนใจพระวจนะ อยากรู้ว่าพระเจ้าสอนเราอย่างไร เมื่อเข้าใจก็ปฏิบัติตาม ไม่ได้เรียนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังเทศน์เสียดิบดี พอกลับไปบ้านปฏิบัติเหมือนเดิม อะไรทำนองนั้น
คนฉลาดในพระคัมภีร์เลือกเป้าหมายหลักถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ในโลกนี้ พระเยซูตรัสว่า มีเป้าหมายหลักอยู่ 2 อย่างเท่านั้น ไม่(1) อยู่เพื่อแผ่นดินพระเจ้า ก็ (2) อยู่เพื่อตนเอง หากเราเลือกใช้ชีวิตอยู่เพื่อตนเอง ทำงานเพื่อตนเอง เพื่อความสุขสำหรับตนเอง แม้เราจะฉลาดในการศึกษา ทำมาหากิน และเราก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย คือทำงานจนมั่งคั่ง มีที่ดินเป็นพัน ๆไร่ แต่ทั้งหมดทำเพื่อตัวเอง พระคัมภีร์ก็เรียกว่าโง่อยู่ดี เพราะมันผิดทางตั้งแต่ต้น คนฉลาดคือคนเลือกใช้ชีวิตรักพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พอเลือกเป้าหมายถูก จากนั้นก็เรียนวิธีที่ที่จะทำให้เป้าหมายสำเร็จ พระเยซูชื่นชมยินดีเวลาเราฉลาด

8. สุดท้าย ที่ผมอยากบอกก็คือ พระองค์ทรงมีความสุขที่ทำให้เรามีความสุข
“เออ เราจะเปรมปรีด์ ในการที่จะทำความดีแก่เขา และเราจะปลูกเขาไว้ในแผ่นดินนี้ ด้วยความหมั่นมั่น ด้วยสุดใจของเรา และด้วยสุดจิตของเรา” (เยเรมีย์ 32:41)
นี่คือเสียงของเจ้าบ่าว มีความสุข ยินดี สดชื่น ในการช่วยเรา ทำการดีให้เรา ทั้งทรงตั้งพระทัยที่จะทำให้เราด้วยสุดจิตสุดใจของพระองค์เสียด้วย
ครับ เมื่อพระองค์ ผู้เป็นเจ้าบ่าว ตั้งพระทัยเช่นนี้ แล้ว เราซึ่งเป็นเจ้าสาว จะตอบสนองพระองค์อย่างไร การ ทำให้พระองค์ยินดี ไม่ใช่กฎเกณฑ์ แต่เป็นการตอบสนองความรัก ด้วยความสุขใจต่างหาก ครับ ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก วันนี้ เราได้ทำให้พระองค์อมยิ้มกับชีวิตของเราหรือเปล่า
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ












 



Visitor 188

 อ่านบทความย้อนหลัง