ไม่ยอมให้พ่อตาย
ศบ.

 


เนื่องในวันพ่อ ผมจะขอนำเรื่องที่ผมอ่านจาก Reader Digest ฉบับภาษาอังกฤษ เดือน June 1989 เล่าเรื่องโดย Per Ola และ Emily D’Aulaire ให้ฟัง แม้เวลาผ่านมานานหลายปี แต่เรื่องราวนี้ ยังสอนเรามาก ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ ผมปรับปรุงให้ลงในหน้ากระดาษเราได้

ทุกสัปดาห์ คอลลีน คุก จะขี่ม้าคู่ควบไปกับคิม คุก คุณพ่อของเธอ เขาเป็นนายอำเภอด้วย บ้านของคิมอยู่ที่ วิคเตอร์ มลรัฐไอดาโฮ ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก ตามสันเขาแกรน ทีตัน ทางขรุขระ ภูเขาลูกนี้เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า เช่น หมี กวาง ตัวบีเวอร์ ทั้งสองชื่นชอบการขี่ม้า แจนนิเฟอร์ ภรรยาของคิม อยากมีลูกมานาน ในที่สุดเธอก็คลอด คอลลีน ลูกสาวคนเดียว ทำให้พ่อลูกคู่นี้ใกล้ชิดกันมาก

ตอนนั้น คิม คุก อายุ 33 ปีแล้ว เขาอยู่ทีวิคเตอร์มาตั้งแต่วัยรุ่น เขารับมรดกการชอบขี่ม้ามาจากครอบครัว คิมเป็นคนจริงจัง รูปร่างผอมบาง ตาสีน้ำตาลเข้ม ไว้หนวด คนนับถืเขาเพราะความสัตย์ซื่อ ทำงานหนัก ทั้งสอนลูกสาว ให้เลือกสิ่งดีที่สุดเสมอ

เช้าวันจันทร์ที่ 30 เดือนพฤษภาคม 1987 ทั้งสองขี่ม้าไปตามสันเขานี้ เขาไปทางที่ไม่เคยไปมาก่อน คอลลีนขี่ม้าของเธอไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่พ่อของเธอ ขี่ม้าหนุ่มค่อนข้างพยศ อายุ 3 ปี ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ ทั้งสองผ่านเข้าไปในป่า ที่สุดก็มาถึงทางชัน ที่ไม่มีรอยเท้า หรือรั้วกั้นอะไร เขาจะต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง เพื่อขึ้นไปถึงยอดสันเขา สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,000 ฟุต ห่างจากบ้านประมาณ 6 กิโลเมตรครึ่ง ม้าเหงื่อโซก ทำให้ทั้งสองต้องพัก คิมบอกลูกสาวให้หยิบกระป๋องโซดาที่หลังอานมามาดื่ม

 

คอลลีนหันขวับ ไปดูเมื่อเธอได้ยินเสียง เหมือนหินกระแทก เธอตกใจมากเมื่อเห็นพ่อของเธอ ล้มกลิ้งลงที่พื้น ท่านค่อยๆลุกขึ้น เอามือกุมที่หน้า เลือดไหลออกมาผ่านนิ้วมือ พ่อลื่น หรือล้ม คอลลีนยังงงๆอยู่ เธอวิ่งเข้าไปใกล้พ่อ หัวท่านฟาดลงบนหินหรือเปล่า

เลือดยังคงไหลไม่หยุด ตอนนี้เลือดปิดตาขวาของท่าน ทำให้ท่านแลเห็นด้วยตาข้างเดียว ม้าพยศต้องถีบท่านแน่ แต่เกิดขึ้นท่าไหนเธอไม่ทราบ พ่อเองก็ไม่ทราบเช่นกัน คอลลีนตระหนักว่า บาดแผลของพ่อนั้นฉกรรจ์ ม้าคงถีบใบหน้าด้านขวาของพ่อ กระเทือนถึงสมอง ความคิดผุดขึ้น “พ่อกำลังจะตาย” แต่เธอไม่ยอมรับ “ฉันจะช่วยพ่อ” เธอพูดอย่างหนักแน่น พยายามซ่อนอาการตกใจของตัวเอง

หัวใจเต้นแรง คอลลีนกระโดดขึ้นม้าของเธอ คาดว่าจะขี่ลงมา ทันใดนั้นเธอฉุกคิดว่า เธอไม่รู้ทาง ทั้งไปทั้งกลับมาหาพ่อ เธออาจหลง เธอเปลี่ยนใจ ทั้งได้ยินเสียงเตือนว่า “อย่าทิ้งพ่อ”

เธอขี่ม้ากลับขึ้นไป เธอรู้ดีว่า การช่วยชีวิตพ่อ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ เธอเตือนสติ จำสิ่งที่ครูวรีฯ สอนที่โบสถ์เมื่ออาทิตย์ก่อนว่า “เมื่อพบปัญหาให้อธิษฐาน แน่นอน นี่คือปัญหา” เธอคิด พอเธอกลับมาถึงพ่อ เธอกระโดดลงจากหลังม้า อธิษฐาน “พระเยซูเจ้าข้า โปรดช่วยเราให้ออกจากที่นี่ได้ด้วยเถิด ขออย่าให้คุณพ่อตาย” จำได้เรื่องการปฐมพยาบาล เพื่อหยุดเลือด เธอเช็ดเลือดบางส่วนออก และเอาหิมะประคบใบหน้าของพ่อ พูดกับพ่ออย่างมั่นใจ “เรากำลังจะพากันกลับบ้าน ลูกรู้ เพราะลูกอธิษฐานแล้ว”

 


คิมอยู่ในอาการรู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่เสียงของลูกสาว ทำให้เขาตื่นอยู่ เขาดีใจที่ลูกสาวกลับมา เขาพร้อมยอมรับถ้าจะตายบนภูเขา แต่สิงที่เขาห่วงคือ คอลลีนอาจหลงทาง หรือเกิดบาดเจ็บถ้าลูกกลับบ้านตามลำพัง เขารู้พื้นที่ดีว่าจะพาลูกกลับบ้ายยังไง ม้าของคิดติดอยู่ที่ต้นไม้ แต่เขาไม่มีแรงจะดึงมันออกมา เขากับลูกสาวตัดสินใจเดินเท้า มือของคอลลีนข้างหนึ่งค้ำยันพ่อ อีกข้างดึงสายม้า คิมแทบทนความเจ็บปวดไม่ไหว

ลงมาได้ประมาณ 100 ฟุต คิมมีอาหารคลื่นเหียนอาเจียน เขาล้มตัวลงนอนพัก แต่คอลลีนกระตุ้นพ่อให้ลุกขึ้นยืน พ่ออาเจียนติดต่อกัน การเขยื้อนตัว ทำให้ปวดร้าวไปถึงศีรษะ เพื่อให้ลงถูก คิมชี้จุดที่จะลงไป 20 ฟุตข้างหน้า คาดว่าจะไปถึงถนนกรมป่าไม้ เขาคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าถึงถนนแล้ว คอลลีนจะกลับไปบ้านได้อย่างปลอดภัย

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คอของคิมแห้งผาก กระหายน้ำ เพราะอาเจียน คอลลีนตระหนักว่า เวลาอันยาวนานคืออันตราย ชักช้าอยู่พ่ออาจเสียชีวิตได้ บาดแผลของคิมหนักกับเขา แต่เขารู้ดีว่า ลูกสาวไม่ยอมแพ้ เขาชื่นชมความตั้งใจของเธอ และการที่เธอยังมีสติดีอยู่เสมอ

ห้าชั่วโมงผ่านไป เขามาถึงถนนกรมป่าไม้ ทันเวลา พ่อทรุดตัวลงพิงต้นไม้ คอลลีนสังเกตจากสีหน้าของพ่อว่า เธอกระตุ้นพ่อต่อไปอีกไม่ได้ “พ่อสัญญาน่ะว่าจะ รออยู่ตรงนี้” เธอพูด “ลูกจะรีบกลับมาพร้อมกับผู้ช่วย เร็วที่สุด”

คอลลีนควบม้ากลับบ้าน ไม่รู้ว่าจะกลับมาเห็นพ่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ “ขอโปรดอย่าให้สายเกินไปด้วยเถิด” เธออธิษฐาน เธอรีบไปให้ถึงคอกม้า ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันอยู่ไม่ไกล

แจนนิเฟอร์ คุก กำลังทำงานในสวน ด้วยใจกังวล คิมและคอลลีน ไม่เคยไปนานอย่างนี้ ตอนนั้นเป็นเวลา 5 โมงครึ่ง ใกล้ค่ำแล้ว

คาเซ น้องชายคนเล็กของคิม อายุ 14 ปี ขับรถมา แจนนิเฟอร์ตะโกนบอกเขา “ช่วยขับรถไปดูหน่อย มีอะไรเกิดขึ้นกับคิมและคอลลีน” เขาบึ่งรถขึ้นไปโดยไม่พูดสักคำ คอลลีนควบม้ามายังไม่ทันถึงบ้าน ได้ยินเสียงรถสี่ล้อ ขับมา เธอตะโกนบอก “คุณพ่อ คุณพ่อ อยู่ทีปากเขื่อน” ไม่นานคาเซ ก็เห็นภาพพี่ชาย หน้าโชกเลือดที่แห้งเกรอะ พิงขอนไม้

“ทุกอย่างจะเรียบร้อย” คาเซหนุนใจให้คิมมั่นใจ “ผมจะพาพี่กลับบ้าน” เขาประคองคิมขึ้นนั่งที่เก้าอี้หลัง พร้อมกับบอกน้องชาย “ขับช้าๆ ถ้าไม่อยากให้พี่..”

โอกาสที่สอง
คิมยังรู้สึกตัว รถพยาบาลพาเขาไปยังเมืองวิกเตอร์ สู่ทีตัน วัลลีย์ เมดิคัล คลินิก ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 20 กิโลเมตร แผลของเขาเต็มไปด้วยุ่นผง เปิดทางให้เชื้อแบคทีเรียขึ้นไปสมอง ดร. แลรรี่ เคอตีส รีบฉีดยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด ขณะทำงานอยู่ เขาประหลาดใจมากที่เด็กอายุ 9 ขวบ สามารถช่วยผู้บาดเจ็บปางตายลงมาจากภูเขาได้ ไม่ต้องสงสัยเลย เธอคือคนที่ช่วยชีวิตพ่อของเธอ

เคอร์ตีส ยอมรับว่าการรักษาตาข้างขวาของคิม ไม่ใช่เรื่องง่าย เขากังวลมากยิ่งกว่านั้นคือ สมองของคิม เขารีบโทรศัพท์ถึงศัลยแพทย์ เมดิคัลเซนเตอร์ ที่ไอดาโฮ ตะวันออก ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงในการเดินทางมา

วันอาทิตย์ตอนบ่าย คิมถูกส่งเข้าไปในห้องผ่าตัดฉุกเฉิน ที่มี ปีเตอร์ ซิมเมอร์แมน ศัลยแพทย์ดวงตา กับ สตีเฟน มาราโน ศัลยแพทย์ประสาท ทำงานร่วมกัน จากการสแกนด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่า กระดูกที่ตาขวาของเขายังหัก หมอวิมเมอร์แมน พยายามรักษาตาข้างขวาของคิม ซึ่งมีโอกาสดีได้น้อยเต็มที 10 วันผ่านไป คิมยังมองด้วยตาขวาไม่เห็น เขาผ่าตัดกระดูกแก้มใต้ตาที่แตก ทั้งหมดก็อยู่กำลังใจของคิม

ข่าวคอลลีนช่วยชีวิตพ่อกระจายไปทั่วหมู่บ้าน หน่วยดับเพลิง ของทีตัน ชมเชยเธอที่ “กล้าหาญในสภาวะเลวร้าย” องค์กรยุติธรรม ของไอดาโฮ มอบรางวัล “ความกล้าหาญ ช่วยชีวิตมนุษย์”

เหลือเชื่อ! แม้คิมจะบาดเจ็บหนัก แต่เดือนสิงหาคม เขากลับไปทำงานครึ่งเวลา ได้ตามปกติ “ท่านอาจมีโอกาสครั้งที่สองได้น้อย” เขาพูด “แต่คอลลีนให้โอกาสผม และผมจะให้โอกาสนี้แก่คนอื่นด้วย” คิมอาสาสมัคร เข้าไปเป็นครูสอนรวีฯ ที่โบสถ์ และสอนคนหนุ่มสาว เรื่องการเผชิญวิกฤติด้วย คอลลีนถูกเลือกให้เป็น ฮีโร 1 ใน 10 ของชาติ ที่วอชิงตัน ดี ซี มีคนเขียนข้อความยกย่องเธอ “ความกล้าหาญ อย่างคอลลีน ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่” เธอถ่ายภาพร่วมกับประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน

เมื่อมีคนชมเชยคอลลีน มากเรื่องความกล้าหาญ เธอกล่าวว่า “เมื่อเราขึ้นไปบนภูเขา มันไม่ได้อยู่ที่หนูมีความกล้าหรือไม่” เธอพูดต่อ “แต่หนูรู้อยู่อย่างเดียว คือ หนูจะยอมให้คุณพ่อหนูตายไม่ได้”


ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ให้ฟังในวันพ่อ เพราะอยากให้เรามองเห็นความรักของพ่อที่มีต่อลูก และความรักของลูกที่มีต่อพ่อ อยากให้เราเห็นว่า การเรียนรวีฯ สำคัญกับลูกหลานเราแค่ไหน การอธิษฐานด้วยความเชื่อสำคัญอย่างไร การต่อสู้ไม่ยอมแพ้คือชัยชนะในที่สุด สำคัญที่สุด “หากเรารักคน คิดช่วยคนที่เรารัก ความกล้าหาญจะตามมาเอง” วันนี้เราอาจมี พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือใครที่เรารัก เขากำลังจะตายเพราะบาป เราพูดเหมือนคอลลีนได้ไหมว่า “เราจะไม่ยอมให้เขาตาย”

สุขสันต์วันพ่อครับ

 














Visitor 66

 อ่านบทความย้อนหลัง