บนเส้นทางความเชื่อ
(ตอนที่1)


อรัญญา ศรีชอบธรรม

 



ความกตัญญู นำฉันสู่อ้อมอกพระเจ้า
ฉันขอนำประสบการณ์พระคุณพระเจ้าที่ฉันได้รับ ตั้งแต่เข้าโบสถ์ครั้งแรกเมื่อกลางปี 1999 ขณะอายุ 54 ปี วันนี้ฉันอายุ 71 ปี เผชิญความเจ็บป่วยแสนสาหัสมาหลายปีโดยไม่คาดคิดเมื่ออายุ 64 ปี จนถึงวันนี้ ฉันเข้าออกโรงพยาบาลแทบทุกเดือน ทำให้บางเวลาต้องขาดโบสถ์ครั้งละหลายเดือน พอร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้นบ้าง ฉันจะอดทนมาโบสถ์เป็นประจำ ตลอดเวลาที่เผชิญความทุกข์ฉันไม่เคยบ่น ไม่เคยต่อว่าพระเจ้า ไม่เคยถามพระเจ้าว่าทำไม ไม่เคยสงสัยในความรักของพระเจ้า ฉันได้แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ยังให้ฉันมีชีวิตอยู่กับครอบครัว ยังพูดได้ ยังจำเรื่องราวของพระเจ้าได้ และดื่มด่ำในความลึกล้ำของพระเจ้ามากขึ้น แม้ความจำที่โยงใยมาถึงพระคุณพระเจ้า กลับผุดขึ้นจนแจ่มกระจ่างในความคิด พระเจ้าทรงเร้าจิตใจฉันขึ้นทุกวัน ให้เปิดเผยชีวิตบนเส้นทางความเชื่อ เป็นพยานหนุนใจพี่น้องที่เข้ามาโบสถ์แต่ยังไม่รู้จักพระองค์ให้ได้เห็นพระคุณความรักของพระองค์ ที่มีต่อท่านทุก ๆ คน และรู้จักพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน เหมือนที่ฉันรู้จักพระองค์

ฉันไปโบสถ์ครั้งแรกเมื่อ 17 ปีก่อน เพื่อขอบคุณคนในโบสถ์ที่สอนกีตาร์ลูกฉันด้วยค่าเรียนที่ถูกมากเพียง 150 ม. ต่อ 1 คอรส(3เดือน) และเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าซอยนั้นซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านมีคริสตจักรตั้งอยู่ อาทิตย์แรกที่เข้าไปหลังนมัสการมีการเลี้ยงอาหารกลางวัน ฉันงงมากแต่ก็ยังรับประทานด้วย ขณะนั้นฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก และคิดว่าฉันต้องมาอีก และคิดว่าฉันต้องมาอีกเป็นประจำไม่ใช่เพื่อมากินข้าวแต่มาเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อคนในโบสถ์(ไม่ใช่พระเจ้าเพราะฉันไม่รู่จัก)ที่เลี้ยงข้าวฉัน และฉันต้องนำของมาถวายเท่าที่ฉันจะทำได้ เพื่อตอบแทนคุณคนในโบสถ์ด้วย
ฉันเคยได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่า “ถ้าให้อะไรใครต้องลืมเรื่องนั้น แต่ถ้าใครให้อะไรมาแม้เพียงเล็กน้อย จะเป็นสิ่งของ คำพูดดี ๆ คำแนะนำดี ๆ ต้องจดจำตลอดชีวิต และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินข้าวของใครต้องคิดถึงบุญคุณ และตอบแทนบุญคุณนั้นตลอดไปชั่วฃชีวิต ฉันจึงไปโบสถ์ด้วยความรู้สึกกตัญญูด้วยตนเอง พร้อมกับตั้งใจไปเรียนรู้เรื่อง พระเจ้าของชาวคริสต์ด้วย

ผู้รับใช้ท่านหนึ่งรู้ว่าฉันชอบอ่านหนังสือ จึงให้พระคัมภีร์เล่มเก่าของท่านกับฉันทันทีที่ได้รับฉันอ่านอย่างรวดเร็วด้วยจุดประสงค์ที่จะจับพระเจ้าเพราะฉันไม่เห็นด้วยกับคำสอนที่ว่า”พระเจ้ายกโทษความบาปให้กับมนุษย์และถ้าเชื่อในพระเจ้าจะได้รับการอวยพรมากมาย” ตามที่ฉันเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะศึกษาและเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมตามความเชื่อเดิม เข้าใจลึกซึ้งมากพอสมควรและแน่ใจว่า “ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน” ผู้ใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดก็ช่วยเราไม่ได้ ฉันยอมรับสภาพและฐานะการเป็นอยู่ ณ เวลานั้น ว่า “นั่นคือการชดใช้กรรมในอดีต” และฉันจะต้องหาวิธ๊หลุดพ้นด้วยตัวเองให้ได้

แต่เมื่อฉันอ่านพระคัมภีร์จบเล่ม ฉันจับผิดพระเจ้าตรงไหนไม่ได้เลย สุกจุดแม้บางตอนฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ไม่ด่วนสรูปว่านั่นคือจุดอ่อนที่คนนับถือศาสนาคริสต์บิดเบือนในทางกลับกันเรื่องราวในพระคัมภีร์ให้ความเข้าใจอย่างแจ่มกระจ่างในความคิดที่ยังคลางแคลงใจในเรื่องความเชื่อเดิม ๆ ได้เป็นอย่างดีที่สุด

ฉันจึงตั้งต้นอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนจบเล่มอีกอย่างช้า ๆ เพื่อหาว่าความรักและพระเจ้าอยู่ตรงไหน ซึ่งทำให้ฉันเห็นความรักที่ถูกต้องสุดยอดของพระองค์และพระคุณพระเจ้านั้น หลั่งลงมาชโลมทุกอย่างบนโลกนี้รวมทั้งจักวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดที่มนุษย์จะทำความเข้าใจได้(ปฐมกาล 1,2) ทุกคนบนโลกนี้ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อในพระองค์ก็ตาม(มัทธิว 5:45) พระองค์ห่วงใยมนุษย์ทุกคน และเป็นแบบย่างของการมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะพวกเขาพวกเรา(เลวีนิติ 19:9-10) ที่ฉันยกมากล่าวเพียงเศษเสี้ยวของพระคุณเท่านั้น ความจริงถ้าพี่น้องโดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามาโบสถ์และยังไม่รับเชื่ออ่านพระคัมภีร์จบเล่มอ่าแล่วอ่านอีก ท่านจะรู้สึกว่าพระคุณพระเจ้าเต็มล้นอยู่ในพระคัมภีร์จนหนักอึ้งยกไม่ไหว หนทางเดียวที่จะเข้าถึงความรักและพระคุณของพระองค์ คือท่านต้องยอมรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้นแล้วท่านจรู้สึกว่า ชีวิตจิตใจของท่านซาบซ่านด้วยความอิ่มเอม สงบสุขไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความเจ็บปวดสักเท่าไหร่บนโลกใบนี้

 

ถึงกระนั้นด้วยจิตใจที่หยาบกระด้างและความกลัวว่าจะถูกหลอกจากหนังสือหรือใครก็ตามที่มาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง ฉันจึงไม่ยอมรับเชื่อ เนื่องงจกวัยเด็กมีฐานะดี จนพ่อป่วยหาสาเหตุไม่ได้จนไปเชื่อคนเข้าทรงถูกหลอกอยู่หลายปีจนหมดตัว มีหนี้สินมากมาย จากที่แม่เคยซื้อข้าวครั้งละกระสอบมาซื้อข้าวครั้งละลิตรหุงกินแต่ละวัน แม่ต้องกู้ยืมแขกร้อยละ20/เดือน ส่งฉันเรียนหนังสือฉันจึงเกลียดเรื่องประเภทการอัศจรรย์ เรื่องที่จับต้องไม่ได้ทุกอย่าง ฉันไม่เชื่อใครทั้งสิ้น นอกจากจะค้นพบมีประสบการณ์ด้วยตนเองจึงจะยอมรับ แม้ฉันจะเชื่อว่าผี วิญญาณ ไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับมีจริง แต่ฉันต้องค้นหาและพบด้วยเองจึงจะยอมรับสิ่งเหล่านั้น

เมื่อฉันเติบโตขึ้นในความเชื่อ ฉันจึงตระหนักว่าพระเจ้ารู้จักฉันดี (เยเรมีย์1:5) ตลอดเวลาที่ไปโบสถ์ไม่เคยมีใครมาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฉันฟังเลย ผู้รับใช้ถามฉันเพียงครั้งเดียวว่าจะรับเชื่อหรือยังหลังจากฉันไปโบสถ์ประมาณครึ่งปี ฉันจึงตอบว่า ไม่เชื่อ ท่านก็ไม่ว่าอะไร คงไปเยี่ยมเยียที่บ้าน อธิษฐานให้เป็นประจำ ช่วงนั้นฉันยังคงปฏิบัติธรรมตามความเชื่อเดิม พร้อมศึกษเรื่องพระเจ้าไปด้วย ฉันไม่อธิฐานเลย เพราะคิดว่า “ทำไมเราต้องรับกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เราต้องช่วยตัวเอง เพราะสิ่งที่เราเป็นมันคือผลมากจากการกระทำของเราเอง เราต้องยอมรับ” แต่พระพรการอัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้นอย่างมากมาย เมื่อฉันมุ่งมั่นแสวงหาพระองค์(มัทธิว6:33,11:28) มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นตลอด หลายคนที่รู้จักฉันบอกว่ามันเป็นผลบุญที่ฉันทำ แต่ฉันไม่เชื่อ ทำไมตอนเข้าโบสถ์ฉันเจอปัญหารุมเร้าจนหนักอึ้ง ไม่เคยมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเลย พอเข้าโบสถ์เริ่มรู้จักพระเจ้า (ทั้งที่ยังไม่เชื่อ)
ชีวิตเปลี่ยน เรื่องดี ๆ เริ่มปรากฏขึ้นทีละน้อย ๆ ฉันจึงยกเลิกความเชื่อเดิมเด็ดขาดหันมาคิดถึงแต่พระเยซูเพียงพระองค์เดียว เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งดี ๆ มาจากไหนกันแน่

ฉันเริ่มท้าทายพระเจ้ามากมาย ถ้าพระองค์มีจริงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้ฉัน แต่สิ่งที่ฉันได้ประสบมาเป็นละเรื่องเลย จนเมื่อฉันรับเชื่อแล้วรู้จักพระองค์มากขึ้น เข้าใจในเหตุการณ์เหล่านี้ลึกซึ้งมากขึ้น จนสุดจะพรรณนาความรู้สึกออกมาได้ ขอเล่าถึงพระคุณบางส่วนในช่วงนั้น ซึ้งฉันยังไม่รับเชื่อพระเจ้า สุขภาพของฉันแข็งแรงขึ้นมาก อาการปวดหัวที่แทบต้องกินยาทุกวันหายไปเลย จากความขาดแคลนเริ่มมีเงินเหลือจากการซื้อกับข้าว จนสามารถเก็บสะสมทำขนมทำอาหารไปถวายโบสถ์เพื่อแสดงความกตัญญูเป็นประจำ

มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อลูกสาวซึ่งเรียนอยู่มหาลัยธรรมศาสตร์ สอบได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น เป็นตัวสำรองคนท้าย ๆ แต่ได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นแทนคนสอบติดตัวจริงที่ถูกตัดออกไปหนึ่งคนด้วยสาเหตุอะไรไม่อาจทราบได้

จากที่ลูกได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่น ฉันจึงมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นทางตอนใต้หลายเมืองอยู่ญี่ปุ่น เกือบเดือน สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า ตั้งแต่ขอค่าตั๋วเครื่องบินจากญาติซึ่งเขาให้ด้วยความเต็มใจ การขอวีซาง่ายมาก คนรู้จักบอกขอไม่ได้เพราะฉันเดินทางคนเดียว ช่วงนั้นญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องคนไทยเข้าประเทศมาก แต่ฉันไม่มีปัญหาอะไรเลย และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางไปต่างประเทศเพียงคนเดียว ตั้งแต่ขึ้นเครื่องออกไปจากบ้านเกิด ก็มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น ระหว่างท่องเที่ยวจนขึ้นเครื่องกลับบ้าน ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง ประสบการณ์ที่ยากจะเข้าใจเกิดขึ้นมากมาย ถ้าเล่าให้ฟังคงเขียนหลายหน้ากระดาษ ด้วยความที่ฉันเป็นคนบาปชั่วจริง ๆ ฉันไม่เห็นพระคุณพระเจ้าเลย คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น

เมื่อกลับถึงบ้านไม่กี่วัน ขณะฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันจึงเห็นพระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉัน เหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มเข้าโบสถ์ทยอยเข้ามาในความคิดความรู้สึกจนถึง ณ เวลานั้นต่อหน้าพระคัมภีร์ที่ฉันเปิดอ่านอยู่ เป็นความรู้สึกล้ำลึกซาบซ่านไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่เส้นผมจนจรดปลายเท้า ฉันกลั้นน้ำตา กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น รู้สึกว่าฉันช่างเป็นคนเลวคนเนรคุณมากเหลือเกิน พระเจ้าสัมผัสชีวิตฉัน บอกฉันว่าพระองค์รักฉัน แต่ฉันหลับไม่รับรู้เลย ไม่เห็นพระคุณพระองค์ฉันเลวจริง ๆ ฉันจึงสารภาพความผิดบาปของฉัน ต่อหน้าพระคัมภีร์และขอรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ทันทีที่ฉันอธิษฐานจบ ฉันรู้สึกซ่านไปหมดทั้งตัว มีความสงบนิ่งในจิตใจ อิ่มเอมสุขสงบด้วยความรู้สึกที่เคยถูกผูกมัดและฉันแสวงหาการหลุดพ้นนั้นหายไปจากความคิด จิตวิญญาณของฉันเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉันไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไป และต้องดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง ทำตามคำสอนจริง ๆ เท่าที่กำลังของฉันทำได้ให้ดีที่สุด เพื่อให้คนอื่น ๆ เห็นความจริงเรื่องพระคุณความรักของพระเจ้าในชีวิตของฉัน

 

ฉันรับศีลบัพติสมา เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2000 ถึงวันนี้ 16 ปีบนเส้นทางความเชื่อ จิตใจฉันไม่คลอนแคลน แม้จะประสบปัญหาสุขภาพสาหัสสากรรจ์ฉันไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพระเจ้ามากไปกว่าขอความเข้าใจในความล้ำลึกและความรักของพระองค์มากขึ้น ๆ

พี่น้องทุกท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เพิ่งมาครั้งแรก นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแต่เป็นพระคุณความรักของพระเจ้าที่ ทรงนำท่านมายังพระนิเวศของพระองค์ ฉันขอยืนยันด้วยชีวิตของฉันว่า พระเจ้ารักท่าน ขอให้ท่านแสวงหาพระองค์ ด้วยความตั้งใจจริง ท่านจะพบพระองค์แน่นอน
อรัญญา ศรีชอบธรรม

แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงว่าพระยาเวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ ท่านจะพบพระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:29)












Visitor 115

 อ่านบทความย้อนหลัง