บนเส้นทางความเชื่อ (ตอนที่ 5)

 

อรัญญา ศรีชอบธรรม

 

 

สิบลด หรือ ตามกำลัง ต้องถวาย


ทุกครั้งที่ลูก ๆ ซื้อของหรือเอาเงินไปให้พ่อแม่ ฉันเชื่อว่าคงไม่มีลูกคนไหนคิดว่า “พ่อแม่ต้องอวยพรให้ฉันร่ำรวยสุขภาพแข็งแรง” ถ้าคิดอย่างนั้นไม่ถือว่ามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ นับเป็นลูกเนรคุณยังได้ การแสดงความกตัญญูกตเวทิตา เป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งของลูกทุกคน ตั้งแต่เด็กจนแก่ป่านนี้ฉันเห็นอะไรมากมายหลากหลาย เห็นลูกที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต แม้บางคนอาจจะร่ำรวยแต่หาความสุขไม่ได้เรียกว่า กินความทุกข์บนจานทอง ตรงกันข้ามกับลูกที่ดูแลพ่อแม่อย่างดี แม้จะยากจนแต่มีความสุขสงบกับลูกหลานของตนเองจนวาระสุดท้าย ฉันเคยเห็นแม้แต่ลูกที่ถูกพ่อแม่เกลียดไล่ออกจากบ้านออกไปลำบาก พอมีฐานะดีกลับมาดูแลพ่อแม่ที่ชราและป่วยไข่และไม่คิดเรื่องเดิม ๆแม้แต่ลูกที่พ่อแม่ไม่รักแยกจากไปมีครอบครัวซื้อของกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ แต่ถูกหมางเมินจนต้องนำของที่ซื้อมาเยี่ยมไปวางบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ หลบออกมาจากบ้านพ่อแม่เดินน้ำตาไหลจากไปแต่กลับมาเยี่ยมประจำจนพ่อแม่ใจอ่อน ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกและหลาน ๆ จึงดำเนินไปอย่างอบอุ่น
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ฉันซาบซึ้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ บวกกับพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่ฉันชอบไปคุยด้วยหลายคนจะสั่งสอนฉันมากเรื่องความกตัญญู ต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ซึ่งฉันได้นำหลักการนี้มาใช้เลี้ยงลูก อบรมสั่งสอนพวกเขาจนทุกวันนี้ และความกตัญญูนี่เองทำฉันมารู้จักพระเจ้า(คำพยานตอนที่1) แรก ๆ ที่มาโบสถ์ฉันไม่เคยถวายเงินใส่ถุงถวายเลย เพราะไม่รู้ว่าเงินนี้ให้ใครให้พระเจ้าหรือฉันไม่เห็นและไม่รู้จักพระเจ้า แต่รู้จักและเห็นผู้รับใช้ที่เลี้ยงข้าวฉัน ฉันจึงเก็บเล็กผสมน้อยจนพอซื้อของมาทำขนมทำอาหารไปให้ผู้รับใช้และสมาชิกได้รับประทานเป็นประจำ เพื่อตอบแทนบุญคุณทุกคน


หลังจากรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ฉันจึงเริ่มคิดถวายเงิน ช่วงเวลานั้นฉันขัดสนมากไม่มีงานทำ แถมยังป่วยไม่แข็งแรง รายได้จากพ่อบ้านเลี้ยงครอบครัวเป็นส่วนที่ฉันแตะต้องไม่ได้ฉันจึงคิดอุปโลกน์ตัวเองเป็นคนใช้ ได้เงินอย่างคนใช้ทั่ว ๆ ไปในเวลานั้นซึ่งเงินเดือนน้อยมาก แล้วหักเป็นสิบลดเพื่อถวายพระเจ้า และอัศจรรย์มากที่ทุกวันเมื่อไปซื้อกับข้าวที่ตลาดจะได้อาหารมามากจนหิ้วของถึงบ้าน ต้องคิดเงินทุกครั้งกลัวแม่ค้าคิดผิด ฉันจะได้เอาเงินไปคืน หมูก็มากขึ้นจนฉันแอบคิดว่าพระเจ้าโกงแม่ค้าหรือเปล่า ฉันซื้อแค่นี้แต่พระเจ้าให้แม่ค้ามองกิโลผิดจนชั่งให้มากเกินกว่าที่ซื้อเป็นอย่างนี้ทุกวันจนฉันเลิกคิด เงินเท่าเดิมซื้อของได้มากขึ้น แถมมีเงินเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ละวัน ฉันได้แต่ขอบคุณพระเจ้า เมืองไทยยุคนั้นเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจตกต่ำผู้คนประหยัดกันอย่างเห็นได้ชัด แต่บ้านฉันอาหารอุดมสมบูรณ์จนพ่อบ้านพูดเล่น ๆ ว่า”บ้านเรากินอาหารเหมือนภัตตาคาร” ฉันจะหยอดเศษเหรียญใส่กระปุกหมูตัวเล็ก ๆ พอได้จำนวนหนึ่งก็นำไปถวายพระเจ้า เป็นส่วนเกินจากสิบลด บางครั้งก็นำเงินจำนวนนี้แบ่งปันกับพี่น้องที่มีปัญหา และยังมีเงินส่วนหนึ่งทำขนมทำอาหารไปถวายได้เหมือนเดิมฉันทำแบบนี้เรื่อยมา แม้ลูกจะเรียนจบทำงานให้เงินฉันทุกเดือนก็ตาม จนฉันป่วยเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เลยลืมกระปุกหมูตัวเล็ก ๆ นี้ไป แต่ยังเคยเก็บไว้ในตู้ ครั้นเขียนเรื่องถวายสิบลดนึกขึ้นมาได้ จึงอยากเขียนเรื่องนี้ให้พี่น้องที่เพิ่งเข้ามาโบสถ์ ยังไม่รู้จักพระเจ้าให้ท่านได้เห็นพระคุณพระเจ้าว่า เมื่อท่านมีใจถวายให้พระเจ้าจริง ๆ อย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ นอกจากความกตัญญูต่อพระองค์ สายฝนแห่งพระพรจะโปรยปรายลงมาบนชีวิตของท่านและครอบครัวอย่างชุ่มฉ่ำจนท่านรับรู้ได้


ความกตัญญูเป็นอีกพระคุณของพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยสายตา แต่สัมผัสรู้ได้ด้วยจิตใจซึ่งพระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนให้มีความกตัญญูนี้ และยังเมตตาสำแดงให้เห็นชัดเจนจากชีวิตของอับราม(อับราฮัม)ซึ่งถวายสิบลดให้กษัตริย์เมลคีเซเดค ผู้ให้ขนมปังกับเหล้าองุ่นและอวยพรท่าน ฉันพยายามอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ปฐมกาลบทที่ 14 ข้อ17-20 เพื่อทำความเข้าใจ แลพระเจ้าประทานสติปัญญาให้ฉันเห็นจริง ๆ ว่า อับรามไม่ได้เคยเอ่ยปากจะถวายสิบลด ถ้ากษัตริย์ให้สิ่งของและอวยพรท่าน แต่กษัตริย์ให้สิ่งของและอวยพรท่านก่อน อับรามจึงตอบแทนพระคุณด้วยการถวายสิบลดและนี่คือตัวอย่างความกตัญญูที่พระเจ้าประสงค์ให้มนุษย์ได้เห็นและจดจำเป็นแบบอย่างโดยผ่านการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง
การถวายอย่างมีเขื่อนไขไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของการงาน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริงในทรัพย์สมบัติดินฟ้าอากาศจักวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งที่รู้เห็นได้ และไม่อาจรู้เห็น มนุษย์เป็นเพียงผู้ครอบครองชั่วคราวแล้วก็จากไป ดังนั้นการถวายอะไรก็ตามจึงต้องถวายด้วยความสำนึกในพระคุณพระเจ้าจริง ๆ ถ้าเราคิดว่า “ถวายแล้วต้องอวยพร” หากพระเจ้าย้อนถามกลับว่า “สิ่งที่เจ้ามีคือสิ่งที่เราให้ ทรัพย์สมบัติของเรามากมายมหาศาล ที่เจ้านำมาถวายเป็นเพียงฝุ่นที่มองไม่เห็นของธุลีดินที่เรามี ถ้าเจ้าเรียกร้องบังคับเอาพระพรจากเราทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นหนี้อะไรเจ้าเลย ก็จงเอาของของเจ้ากลับคืนไปเถิด” เราจะคิดอย่างไร ? และจะเกิดอะไรขึ้นจากชีวิตของเราต่อไป ?
อาจารย์ท่านหนึ่งเคยเทศน์เรื่องถวายว่า พระเจ้าจะรับจากเราเท่าที่ใจของเราต้องการถวายโดยไม่มีข้อต่อรอง พร้อมยกตัวอย่างว่า สมาชิกคนหนึ่งตั้งใจถวายแค่ 20 บาท ครั้นเปิดกระเป๋าตังค์มีแต่แบงค์ 100 จะหยิบเงินทอนจากถุงถวายก็ไม่ได้ จะไม่ถวายก็ไม่ได้กลัวพี่น้องที่นั่งข้าง ๆ จะตำหนิ จึงจำใจใส่แบงค์ 100 ลงไปในถุงถวาย อาจารย์บอกว่าพระเจ้ารับเงินเพียง 20 บาท อีก 80 บาทไม่รับ เพราะผู้ถวายถวายให้พระองค์ด้วยความจำใจ
แม้เราไม่อาจถวายเต็มสิบลดได้(พี่น้องผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องสิบลด ขอความรู้จากผู้รับใช้ที่ดูแลท่านได้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง) จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่เป็นความจริง ไม่ใช่คิดเรื่องความขัดสนอันเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวมาเป็นข้ออ้าง ท่านถวายได้ตามกำลัง และความสมัครใจของท่าน พระเจ้ายินดีรับเสมอด้วยความเข้าใจและเมตตาท่าน (ฮชย.6.6,2คร.8.12,9.5-8) และการถวายนั้นหมายรวมถึงถวายให้พระเจ้า ถวายเพื่อพี่น้องที่ขัดสน ซึ่งอาจเป็นเงิน แรงงาน สิ่งของต่าง ๆ หรือแม้แต่น้ำเปล่าเพียงแก้วเดียว พระพรของพระเจ้าจะหลั่งลงมาสู่ชีวิตของผู้ถวายอย่างไม่ขาดสาย(มก9.41, สดด37.25)

 


แต่การถวายที่สำคัญที่สุด และพระเจ้าประสงค์ให้ลูก ๆ ทุกคนต้องถวาย คือการมอบถวายทั้งชีวิต ความคิด จิตวิญญาณของตนให้กับพระองค์(ลก.21.1-4,สดด40.6-8,50.23)และต้องถวายด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์จริง ๆ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ เพราะเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่สามารถทำอะไรได้เลย (ปญจ.9.5,10,อพย.38.18-19)นอกจากรับผลจากทางเลือกและการดำเนินชีวิตของตนเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งพระเจ้าจะทรงเป็นผู้พิพากษาด้วยพระองค์เอง(โยบ34.11)
ฉันขอเป็นพยานอีกครั้งเรื่องการถวายสิบลดด้วยเงิน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ฉันไม่เคยลืมเลือน ช่วงแรกของชีวิตคริสเตียน ฉันลำบากเรื่องเงินมาก แต่ตั้งใจถวายเหมือนที่เคยทำกับพ่อแม่แม้ฉันจะไม่มีรายได้จากงานประจำเพราะป่วย ฉันจึงอดออมมากที่สุด เสื้อผ้าแพง ๆ ของกินแพง ๆ เลิกหมด จึงสามารถเก็บเงินไปให้พ่อแม่ และซื้อข้าวไปฝากท่าน แม้ไม่มากเหมือนครั้งมีงานทำ พ่อแม่จากไปหลายปี ฉันจึงพบพระเจ้า ฉันใช้วิธีการเดียวกันทันที แต่ครั้งนี้บอกได้ว่าอัศจรรย์เหลือเกิน ฉันจึงเข้าใจคำสอนอย่างเข้าถึงแก่นจริง ๆ เรื่องการถวายอย่างเต็มใจ และบริสุทธิ์ใจ ด้วยจิตใจสำนกถึงพระคุณ พระเจ้า พระองค์จะทรงเพิ่มพูนให้อย่างเหลือล้น(มธ.6.25-34)นอกจากนี้การมีใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังบุญกุศลเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ฉันตระหนักได้จริง ๆ ว่า “ผู้ให้ย่อมเป็นสุข”(กจ.20.35)

 


ฉันบอกครอบครัวเสมอว่า ทุกอย่างที่เรามี ณ วันนี้คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้พระคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่จนเกินจะพูดได้ และเฝ้าบอกตัวเองว่า สิ่งที่ฉันถวายให้พระองค์นั้นน้อยนิดเหลือเกินฉันอยากถวายให้มากขึ้น ๆ ในทุก ๆ อย่างที่ฉันถวายได้ หลายครั้งเมื่อฉันตั้งเป้าจะถวายมากขึ้นแม้จะดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลย แต่พระเจ้าเสริมกำลังทุกด้านให้ฉัน จนสามารถก้าวไปสู่เป้าหมายการถวายที่มากเกินกำลังของตัวเอง ไม่ว่าเป้าหมายการถวายนั้นจะเป็นเงิน สิ่งของ เวลา ซึ่งฉันรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งสำหรับฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้อาจจะยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ฉันกำลังเป็นพยาน แต่ท่านที่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง จึงจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้แน่นอน
จึงขอเชิญชวนพี่น้องทุก ๆ ท่าน มาสัมผัสพระพรแห่งการถวายอันเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ มาต่อรอง และตั้งใจถวายด้วยจิตใจของความกตัญญูต่อพระเจ้าพระบิดาของท่านจริง ๆ
อรัญญา ศรีชอบธรรม
ผู้ใดเล่าให้อะไรแก่ท่าน ซึ่งเราจะต้องตอบแทนเขา ? ทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์เป็นของเรา (โยบ 41.11)

 





Visitor 117

 อ่านบทความย้อนหลัง