โย เน โกะ ความรักประหลาด

ศบ.

 เดือนนี้ เป็นเดือนแห่งความรัก อาทิตย์ที่แล้ว ผมเล่าเรื่อง ความรักของ อัน ยี สุข สาวเกาหลี ที่มีให้พระเยซู เพราะถูกคนญี่ปุ่นข่มเหงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วันนี้ ขอเล่าเรื่อง ความรักพระเยซู ที่มีให้ โย เน โกะ สาวญี่ปุ่น ในสมัยหลังสงครามโลก  

       

  โย เน โกะ 

     เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ปี 1928  เป็นลูกคนโปรดของคุณแม่ แม้ว่าครอบครัวนี้นับถิอศาสนาชินโต  แต่พ่อของเธอ มิได้เคร่งครัดนัก อันเป็นแบบฉบับของคนญี่ปุ่นยุคใหม่ที่ไม่ยึดถือศาสนาใด ๆ เลย “วิธีเดียวที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้าได้นั้น คือ การทำงานหนัก สัตย์ซื่อ และประหยัด สิ่งนั้นจะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข ไม่ใช่การเรียนในมหาวิทยาลัย” นี่คือคำพูดของพ่อ “ศาสนามีไว้สำหรับผู้หญิงที่อ่อนแอ เด็กที่ไม่รู้จักช่วยเหลือตนเอง ผู้ชายที่สภาพร่างกายเสื่อมโทรม ศาสนาเป็นอุปสรรคสำหรับคนแข็งแรง” ส่วนแม่ของ โย เน โกะ เป็นคนเคร่งศาสนาชินโต นิกาย เท็นริเคียว เธอมักพา โย เน โกะ ไปวัดของนิกายนี้ซึ่งอยู่ใกล้บ้านบ่อย ๆ  ตอนที่แม่ของเธอ เป็นอัมพาต โย เน โกะมีอายุ 15 ปี  คุณแม่จะขอให้เทพเจ้ารักษา  เธอหวังได้พร 3 ประการ คือ(1) สุขภาพดี (2)ครอบครัวมีสุข และ (3)การค้าขายเจริญ

 คุณพ่อคุณแม่มีลูก 4 คน (1)ยาซุโสะ หัวปี (2) อาคิโยชิ  ลูกชายทั้งสองคนนี้ มุ่งมั่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  ส่วนลูกสาวอีกสองคน คือ (3)ยูริโก และเธอ (4) โย เน โกะ ปกติ คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว  แม้พ่อเป็นคนเฉยๆ “ท่านไม่เคยอุ้ม หรือหอมแก้ม เพราะท่านถือว่าเป็นการกระทำอันต่ำทราม”  แต่เธอก็รู้ว่าพ่อรักเธอ  สำหรับคุณแม่แล้ว โย เน โกะ  เป็นลูกคนโปรดทีเดียว “ฉันถูกตามใจมาก  แม่ให้ฉันทำแต่งานเบาๆ เช่น ล้างระเบียงหน้าบ้าน  ต่างจาก ยูริโกะ พี่สาวที่ต้องทำงานหนัก   “ฉันเป็นลูกแหง่ของแม่” เธอไปไหน ๆ กับแม่  และคนมักชมว่าเธอเป็นคนหน้าตาดี  “ลูกสาวของเธอสวยมากน่ะ”  โย เน โกะ มีความสุข ร่าเริง จนกระทั่ง

 พุ่งเข้าใส่ อย่างดุดัน แม่แน่นิ่งไป โย เน โกะ วิ่งมาช่วยแม่ไม่ทัน  ด้วยความตกใจสุดขีด เธอขอให้คนไปตามหมอมารักษา แต่เพื่อนบ้านนิกายนี้ขัดขวาง เขาพยายามให้แม่เธอดื่มน้ำมนต์ และว่าเทพเจ้าจะรักษา กว่าที่เธอจะแอบฝืนไปโทรศัพท์ถึงหมอได้ก็เป็นชั่วโมง หมอรีบพาเธอไปรักษา  แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ในที่สุดแม่ของเธอจากไป  เพื่อน ๆของแม่ ในนิกายนี้กลับโจมตีเธอว่า เทพเจ้าไม่รักษาเธอ เพราะเธอเชื่อไม่จริง มาโดยตลอด


                                        

แม่จากไปแล้ว โย เน โกะ ว้าเหว่มาก เธอลงความเห็นว่า ศาสนาฆ่าแม่ของเธอ “พอแม่ตาย ฉันก็ออกไปเที่ยวตามบาร์ ตามผับ ดึกๆ ดื่นๆ กินเหล้าเมายากับเพื่อนๆ ทำอะไร บ้า ๆ บอ ๆ เพราะขาดสติ” สับสน บางครั้งก็มีความรู้สึกว่า แม่ยังไม่ตาย “ฉันพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้น” ส่วนพ่อกับพี่ชาย ก็พยายามจะหาสามีให้  เพื่อคุ้มครองตัวเธอ ใจของเธอล่องลอย ปกติ เธอจำนครโตเกียวที่เธอ เติบโตมาได้อย่างดี  แต่เดี๋ยวนี้ บ่อยครั้งมากที่เธอนั่งรถไฟ ผิดสถานี ในความสับสน ระทม  เธอคิดว่า เพื่อบรรเทาความปวดร้าว “ฉันจะเดินลงไปในน้ำ หายไป พร้อมทั้งตะโกนระบายความเจ็บปวด ข่มขื่นใจ” 

                         

   เธอคิดฆ่าตัวตาย “นั่นจะเป็นการลดภาระให้ครอบครัว ทั้งพ่อและพี่ชาย จะไม่ต้องลำบากหาสามีให้ฉัน ยูริโกะ พี่สาวก็จะได้แต่งงานสมใจ ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันมีเหตุผล และไม่เห็นแก่ตัว แต่ต่อมาฉันพบว่า ฉันสงสารตัวเอง และเห็นแก่ตัวสิ้นดี” 

   เที่ยงคืนวันหนึ่ง  ช่วงปลอดคน เธอก็เดินหน้าพุ่งตรงเข้าไปตัดหน้ารถไฟ ที่กำลังเร่งความเร็วออกจากสถานี

     โย เน โกะ สลบไป 1 อาทิตย์  รู้ตัวอีกที่ เมื่อเธออยู่ในเตียงไข้ 

     เธอเป็นพยานภายหลังว่า  พระเจ้าทรงเตรียมคนงานรถไฟ  2  คนที่ช่วยปฐมพยาบาลเธอ  และหมอศัลย์ที่มีชื่อเสียง  มาประจำที่โรงพยาบาล ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ  เธอถูกตัดขาทั้งสองข้าง  และแขนข้างซ้าย  ส่วนแขนข้างขวานั้น ก็ถูกตัดนิ้วไป 2 นิ้ว  คงเหลือแต่นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้และนิ้วกลาง  พวกพี่ และพ่อมาเยียมเธอ พ่อเสียใจ ท่านพูดเสียงดังว่า “ทำไมโย เน โกะ จึงทำอย่างนั้น ..พ่อได้พยายามทุกวิถีทางแล้วน่ะ” เธอไม่เคยรู้ใจพ่อ วันนี้เธอรู้ว่าพ่อรักเธอ 

  “ฉันจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไร  ฉันคิดว่าต่อแต่นี้ ไม่ว่าพ่อ หรือพี่ชายก็หาสามีให้ฉันไม่ได้ ใครอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีแค่ครึ่งตัว ฉันไม่สามารถจ่ายตลาดได้ ไม่สามารถทำความสะอาดบ้าน หรือดูแลลูกได้ ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีโอกาสรู้จักกับความรักของสามี ที่มีต่อภรรยา”  เธอคิดฆ่าตัวตายอีก  และวิธีแนบเนียนที่ทำได้ คือ การแอบเก็บสะสมยานอนหลับ  เธอจึงเริ่มซ่อนยานอนหลับไว้ในที่ต่าง ๆ ให้มาก

     ที่เมืองนี้ มีโบสถ์คริสเตียน ครอบครัวของอาจารย์ แมคเลอรอย เพื่งย้ายมาใหม่ แทนครอบครัว อาจารย์ ฟ็อก ครอบครัวใหม่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาก่อน จึงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี เขามีทีม ของคน 4 คนมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล  พวกเขามาบ่อยมาก แต่ โย เน โกะ ไม่ชอบคริสเตียน “ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาเลย แต่ฉันรู้สึกเกลียดพวกนี้อย่างรุนแรงพอ ๆ กับที่ฉันเกลียดลัทธิเท็นริเคียว และพุทธศาสนา จะว่าไปแล้วฉันเกลียดทุกศาสนาเลย ทำไมฉันถึงคิดต่อต้านศาสนานักนะ เพราะศาสนานี่แหละ ทำให้แม่ของฉันตาย” แต่ด้วยการฝึกฝนเป็นคนมีอัธยาศัยดีงาม กับคนที่มาหามาตั้งแต่เด็ก เธอไม่ได้หยาบคายอะไรกับพวกเขา  “ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมฟังคำสอนบ้า ๆ นั้นอีก”เธอยังไม่เลิกคิดฆ่าตัวตาย “สักวันหนึ่ง เมื่อชีวิตของฉันจบลง คงไม่ต้องมีใครมาลำบากกับฉันอีก” ในทีมที่มาเยียมเยียนฉัน อาคิโตชิ ทาฮารา  เป็นคนหนึ่งในทีม เขาเพื่องเชื่อพระเจ้า แค่ 2 ปี  แต่ถวายตัวรับใช้เต็มเวลา พวกเขาไม่ท้อถอยกับความดื้อรั้นของเธอ  พวกเขาร้องเพลงให้เธอฟัง “ฉันชอบทำนองเพลง แต่ไม่รู้ความหมาย “สันติสุข” “การกลับบ้าน” “การไถ่โดยพระเยซู” เธอคิด “ฉันจะไม่ยอมคล้อยตามศาสนาของพวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ อาคิโตะกับเพื่อนทำให้ฉันประทับใจ คือ พวกเขาไม่เคยผิดสัญญา เมื่อเขารับปากว่าจะมาหาฉัน วันนั้นวันนี้ เขาจะทำตามนั้น”

  “ฉันโกรธ ที่พบว่าความจริงตนเองกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยการมาเยี่ยมของพวกเขา”


                                              

 

เช้าวันอาทิตย์ อีสเตอร์  เชลตั้น อัลเลนมาที่เทศน์ที่โบสถ์ เป็นภาษาญี่ปุ่น  พวกเขาเพิ่งได้เครื่องเทปบันทึกเสียงเทอะทะอันหนึ่งมา จึงอัดเสียงนักเทศน์ แล้วเอามาเปิดให้เธอฟัง “เขาเทศน์เรื่องพระเยซูสนทนากับ สาวกสองที่ไปยังเมืองเอ็มมาอูส  แต่ฉันรู้สึกว่า พระองค์กำลังสนทนากับฉัน พระองค์เปิดใจฉัน พระองค์ไม่สนใจความพิการของฉัน พระองค์รักฉันอย่างทีฉันเป็น” ฉันฟังด้วยความซาบซึ้ง“น้ำตาฉันไหลพรั่งพรูลงมาอาบแก้ม ฉันอธิษฐาน “พระเจ้าช่วยด้วย” คืนนั้น โย เน โกะ นอนหลับนานมาก อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เช้าวันใหม่  เมื่อตื่นขึ้นเธอเปลี่ยนเป็นคนละคน “โลกช่างสวยงาม” เธอหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่าน “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนถูกสร้างใหม่แล้ว” เธอลืมเรื่องการสะสมยานอนหลัย  เธอเริ่มไต่ถาม ห่วงใยพ่อ  ยูริโกะ และพี่ชายทั้งสอง  ถามถึงภรรยาของยาซุโสะ และการเรียนของ อาคิโยชิ” เธอเล่าว่า “พวกเขาทั้งดีใจและงง ทุกคนโล่งใจว่าฉันกลับมาเหมือนเดิมอีก” “ฉันวางใจพระเจ้ามากยิ่งกว่า ที่ฉันเคยวางใจแม่ตอนที่ท่านจูงฉันข้ามถนนเสียอีก”

   พวกพี่ และพ่อ คิดว่าฉันหลงคารมฝรั่ง พยายามข่มขู่ให้ฉันเลิกเชื่อ “รู้ไหมว่า พวกมันทำอะไรที่ฮิโรชิมา” แต่ฉันตอบเขาว่า “ฉันเป็นของพระเยซู ฉันมีความสุขที่ได้เป็นคริสเตียน” พ่อไม่เห็นด้วย  แต่ก็ดีใจที่ลูกมีสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต  และทำให้มีความสุข

 ผมเล่าให้สั้นลง สิ่งมหัศจรรย์ยิ่งสำหรับเธอในเวลาต่อมา คือ อาคิโตชิ อยากแต่งงานกับเธอ ปกติ เธอก็รู้สึกมีความสุขที่อยู่ใกล้เขา “ฉันไม่ควรแต่งงานกับใครเลย แต่ฉันคิดถึงเขา อาคิโตชิ ไม่เพียงแต่ชนะใจเธอ เขาชนะใจพ่อของเธอด้วย ท่านพูดกับลูกชาย 2 คนว่า “เขาเป็นคนน่าเชื่อถือ สุภาพ มีเมตตา เขาเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ” 

 ทั้งสองแต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน 2 คน เธอได้รับขาเทียมจากหมอชาวอเมริกัน และได้ฝึกฝนการใช้จนเป็นธรรมชาติของเธอ “มีคนมากมายที่มีขา แต่เดินไม่ได้ แต่ฉันไม่มีขา แต่เดินได้ ต่อไปฉันจะไม่บ่นอีกแล้ว  ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน  ฉันอยากตะโกนให้ก้องโลกเลยว่า “พระเจ้าของฉันทรงดีกับฉันมาก ฉันเดินได้แล้ว”เธอใช้ชีวิตรับพระเจ้าพระเจ้าร่วมกับสามี 

       อยากทราบรายละเอียดอ่าน “โย เน โกะ” (ธิดาแห่งความสุข)  สำนักพิมพ์ บีซีจี (1999) ขอพระเจ้าอวยพรครับ 

 



Visitor 79

 อ่านบทความย้อนหลัง