ลี้ภัยในพระเจ้า


จะเลือกตามปัญญามนุษย์ หรือตามพระปัญญา

ศบ.


สดุดี 118:8 “เข้าลี้ภัยในพระเจ้า ดีกว่าที่จะเชื่อใจในมนุษย์”
สดุดีบทนี้เป็นเพลงของดาวิด บุรุษผู้ต่อสู้กับชีวิต ดาวิดรบชนะโกลิอัท ก็เพราะเชื่อพระเจ้า รอดจากการไล่ล่าเอาชีวิต จากซาอูลก็เพราะพระเจ้าทรงปกป้อง ชนะข้าศึกหลายครั้งก็เพราะถามพระเจ้าก่อนออกไปรบ ข้อความนี้ของดาวิด น่าจะเป็นบทสรุปของพระองค์ท่าน “เข้าลี้ภัยในพระเจ้า ดีกว่าที่จะเชื่อใจในมนุษย์”
ธรรมชาติของคนเรา ที่พึ่งอันดับแรกที่เราคิดถึงมักเป็นคน คนที่เราคิดว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเราได้ เมื่อเรียนหนังสือเราหาครูดี เมื่อขัดสนเรื่องเงินทอง เราก็คิดถึงคนมีสตางค์ เมื่อเจ็บป่วยเราหาหมอเก่ง คราวที่จะขึ้นศาล เราเสาะหาทนายมือหนึ่ง คนยิวก็เหมือนกัน พอบาบิโลนยกกองทัพมาตียิว พวกเขาก็หวังพึ่งอียิปต์ ดาวิดเองก็พบการบีบคั้น พระองค์กล่าวถึงสงครามว่า มีประชาชาติมาล้อมกรุง เหมือนฝูงผึ้ง พระองค์ถูกผลักเกือบล้มลง เกือบถึงตาย แต่เพราะพระองค์วางใจในพระเจ้า พระเจ้าช่วยพระองค์ทั้งหมด (สดุดี 118:9-14)
ผมจำชีวิตวัยเด็กได้
เราเติบโตในบ้านที่นคร คุณพ่อคุณแม่มีลูก 6 คน น ับว่ามากโขอยู่ สำหรับคนยุคปัจจุบัน ท่านห่วงใยว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ปลอดภัยในพระหัตถ์ คุณแม่เคยเล่าว่า วิธีเลี้ยงลูก ให้ฝากลูกไว้กับพระเจ้า เพราะท่านว่า ท่านคงมิอาจติดตามสอดส่อง ดูแลลูกไปได้ทุกหนทุกแห่ง พอพ้นสายตา ถ้ามันจะทำชั่ว ใครจะไปมีตาทิพย์แลเห็น วิธีฝากลูกไว้กับพระเจ้า ก็คือสอนให้ลูกพึ่งพาอาศัยพระองค์โดย การอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ท่านปลุกพวกเราขึ้นมาอ่านพระคัมภีร์ตอนเช้ามืด ตั้งแต่ไก่โห่ ผมจำบรรยากาศนั้นได้ดี ทั้ง ๆ ที่พวกเราง่วงนอน ท่านให้เราลุกขึ้นมา และท่านอ่านพระคัมภีร์ให้ลูกฟัง ยอมรับว่าผมจำข้อความที่อ่านไม่ได้สักข้อ รู้แต่ว่าท่านอยากให้เราฟังพระวจนะ
ท่านให้เราเรียนรวีวาระศึกษาในวันอาทิตย์ ที่โบสถ์ ท่านสอนให้เราแต่งตัวสวย เรียบร้อยเมื่อไปโบสถ์
นอกจากนั้น ที่บ้านของเรา มักมีผู้รับใช้พระเจ้ามาพักเป็นประจำ ผมจำอาจารย์ ชาลี ฮอก ป้าหวาน คุณลุงชู อาจารย์วีรชัย แป๊ะโยฮัน อาจารย์ไชยง และใครต่อใครอีกหลายคน ที่มักแวะเวียนกันมาพักที่บ้านของเรา ความจริงท่านเหล่านี้มิได้ไปนคร เพราะเยี่ยมเรา แต่ไปประกาศทางภาคใต้ คุณแม่ก็ต้อนรับขับสู้ ผู้รับใช้เหล่านี้ให้มาพักที่บ้าน เนื่องจากบ้านของเรา เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน จึงมีห้องพักมากมายหลายห้อง อาหารคุณแม่ท่านก็ทำครั้งละมาก ๆ ใครหิวก็ไปทานก่อน ผมคิดว่าท่านคงมีของประทานในการต้อนรับแขก แล้วอนิสงค์ที่เรา พวกลูกๆ ได้รับก็คือ เมื่อท่านเหล่านี้มา คุณแม่ จัดให้มีการประชุมนมัสการ และสอนพระคัมภีร์ พวกเราจึงพลอยได้รับพระคำไปโดยปริยาย
การฝากลูกๆ ไว้กับพระเจ้าของท่านไม่จบเท่านั้น
ในช่วงปิดเทอม มีการประชุมพิเศษที่โรงเลื่อยยิปปินซอย ที่อำเภอท่าข้าม จ. สุราษฎร์ อาจารย์ และแหม่ม อดอฟ นิลสัน มิชชั่นนารีชาวสวีเดนพักอยู่ที่นั่น ท่านจึงจัดให้มีการอบรมพระคัมภีร์หน้าร้อน พวกเราที่นครฯ ก็พากันขึ้นรถไฟไปร่วมประชุมที่สุราษฎร์ ผมยังจดจำคำเทศน์ของอาจารย์อดอฟ นีลสันได้หลายเรื่อง
การเลือกโรงเรียนให้ลูก


คุณแม่ท่านเลือกให้ลูกเรียนโรงเรียนคริสเตียน ผมเรียนโรงเรียนชูศิลป์วิทยา ที่คุณพ่อเป็นผู้จัดการจนถึงชั้น ประถมปีที่ 3 จากนั้นก็ย้ายมาเข้าเรียนที่ศรีธรรมราชวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนของสภาคริสตจักร ตอนนั้น อาจารย์ โกศล วัฒกีเจริญ เป็นผู้จัดการ ท่านจัดให้มีการอบรมนักเรียนด้วยพระคำเกือบทุกเช้า ก่อนเข้าเรียน ช่วยตอกย้ำพระคำที่ท่านสอนที่บ้าน นักเรียนแม้ไม่เป็นคริสเตียนก็ร้องเพลงในชีวิตคริสเตียนได้หลายเพลง ถึงเทศกาลคริสตมาส โรงเรียนก็ประดับประดาสถานที่ ด้วยบรรยากาศของเทศกาลคริสตมาส มีการแสดงของนักเรียนแต่ละชั้นอย่างสนุกสนาน ผมชอบวาดเขียน โรงเรียนก็เปิดให้มีการวาดการ์ดคริสตมาส มาประกวดกัน ผมคว้ารางวัลได้บ่อยครั้ง เราเพลงคริสมาสในเล่ม ได้แทบทุกเพลง บางเพลงก็ฝึกประสานเสียงเสียด้วย
ผมจบชั้น ม. 6 (สมัยก่อน) ที่นครฯมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ผมสอบเข้าเตรียมอุดมศึกษาไม่ได้ ก็มาสอบเข้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ที่ถนนประมวญ ดูคุณพ่อท่านจะชอบใจ เพราะท่านเองก็เป็นศิษย์เก่า BBC ท่านว่า ท่านอยากให้ลูกได้กลิ่นไอของพระเจ้าอยู่เสมอ เท่าที่ทำได้ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนสมัยผม คงมิได้เป็น ม.7,ม.8 ที่เก่งนัก มีนักเรียน 3 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน เราต้องสอบข้อสอบ ของกระทรวงศึกษาปลายปี ม.8 รุ่นผมตกยกชั้น 2 ห้อง สอบได้แค่ห้องเดียว ว่ากันว่านักเรียนเก่งๆ ของโรงเรียนชั้น ม.6 ย้ายไปเข้าโรงเรียนเตรียมอุดม ที่พญาไท กันเกือบหมด เหลือแต่นักเรียนไม่ค่อยเก่งนัก แต่การหนุนให้ลูกเรียนโรงเรียนคริสต์ คุณพ่อคุณแม่ท่านถือว่า เป็นการฝากลูกกับพระเจ้าทางหนึ่ง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ภรรยาและผม เลือกโรงเรียนคริสเตียนให้ลูกทุกคน
ผมเองค่อยๆ เรียนเรื่องการพึ่งพระเจ้า
เมื่อแต่งงาน ผมคิดว่าการเลือกคู่ครองเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในชีวิต ถ้าเราเลือกผิด ทุกข์นั้นย่อมตกกับตัวเรา ไม่ใช่พ่อแม่ หรือใครทั้งสิ้น มนุษย์มีมาตรฐานให้ยึดถือมากมาย เช่น ให้พิจารณาฐานะ พื้นเพ การศึกษา รูปลักษณ์ ความงาม ครับ มีอีกมากที่ชวนให้นำมาพินิจพิจารณาก่อน แต่การลี้ภัยในพระเจ้า พระองค์สอนเราว่าอย่าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ ผมเชื่อพระองค์ พระองค์สอนให้เราเลือกผู้ที่มีความเชื่อก่อนเรื่องอื่น ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่มองสาวคนใดที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ว่าเธอจะมีคุณสมบัติฝ่ายโลกประเสริฐเลิศเลอแค่ไหน ยิ่งกว่านั้น ผมก็คิดตั้งแต่เป็นหนุ่มว่า คริสเตียนเก๊ ก็มี ผมหมายถึงคนที่เป็นคริสเตียนแต่ชื่อ แต่มิได้พบพระองค์เป็นส่วนตัว ดังนั้น การลี้ภัยในพระองค์ก็แปลว่า เราเลือกคนที่สัมผัสพระองค์เป็นเรื่องแรก
การเลือกถิ่นที่อยู่
เมื่อผมแต่งงานแล้ว การมองหาถิ่นที่อยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในกรุงเทพฯมีที่อยู่ให้เลือกได้มากมาย เราไม่รู้ จริง ๆ ว่าย่านใดมันดี หรือไม่ดีอย่างไร ก็ได้แต่อธิษฐานขอการทรงนำ โจทย์ที่เราตั้งเอาไว้ก็คือ ถ้าเราทำงานที่โบสถ์ในซอยอ่อนนุช บ้านเราก็ควรจะอยู่ในย่านนี้ สมัยนั้นซอยอ่อนนุช เป็นซอยทิ้งขยะ รถขนขยะเข้าออกขวักไขว่ ทุกวัน ไม่รื่นรมย์เลย และหมู่บ้านมิตรภาพที่เรามาเช่าอยู่ก็ถูกน้ำท่วมหลายระลอก จนคนในหมู่บ้านหนี ขายบ้านทิ้งไปอยู่ที่อื่นหลังต่อหลัง ชวนให้เราโยกย้ายออกไปเช่นเดียวกัน ตอนนั้นยังไม่มี ถนนศรีนครินทร์ ท้ายหมู่บ้านของเรายังเป็นทุ่งนา ที่ชาวบ้านเลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ และซอยอ่อนนุชยังเป็น 2 เลน ไม่มีอะไรที่นี่ชวนให้เราอยู่ แต่ ภรรยาและผมคิดว่า ถ้าเราจะลี้ภัยในพระองค์ ก็ต้องให้พระเจ้านำ วันหนึ่ง เจ้าของบ้านที่เราเช่าอยู่ขายบ้านให้เรา หลังจากอธิษฐานแล้ว เราก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ มาถึงวันนี้ ผมรู้แล้วว่า การลี้ภัยในพระองค์ดีกว่าคิดด้วยปัญญามนุษย์ บ้านเรากลายเป็นบ้านที่อยู่ในย่านที่มีถนนใหญ่ผ่านโดยรอบ อย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อน
ในงานรับใช้ก็เช่นเดียวกัน
เราอาจรบชนะหรือพ่ายแพ้ก็ได้ คนมักอยากช่วยเราโดยให้การแนะนำด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม แต่คริสตจักรต้องตระหนักว่าเรา มีแม่ทัพสูงสุด คือพระเยซู การวางใจในพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงนำเราแล้ว แม้มีอุปสรรค เราก็จะไม่หวาดหวั่น ไม่กระวนกระวายใจ แต่มีสันติสุข


เมื่อมีหลายทางให้เลือก เราต้องทูลถามพระเจ้าก่อน เมื่อมีปัญหา ไม่ใช่โทรหา จส. 100 หรือ. 191 ก่อน แต่ต้องทูลพระเยซูก่อน เมื่อโยชูวาจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปตีเมืองเยรีโค คืนนั้นท่านพบกับบุรุษ ผมเข้าใจว่าเป็นพระเยซู พระองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นพระเจ้าจอมพลโยธา เป็นแม่ทัพ นั่นแปลว่า ต่อไปนี้ โยชูวาต้องฟังพระองค์เท่านั้น (โยชูวา 5:13-15) แล้วท่านก็เอาชนะเยรีโค อย่างอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่เยรีโค เป็นเมืองที่มีกำแพงสูง มีคนร่างยักษ์ ถ้าเป็นความคิดมนุษย์ก็ต้องทำเชิงเทินเข้าทาบ ใช้บันไดปีน เอาเครื่องยิงก้อนหินเพลิงเข้าใส่ แต่พระเจ้าสอนโยชูวา ให้รบโดยการเดินทางรอบเมือง วันละรอบ เป็นเวลา 7 วัน วันสุดท้ายให้เดิน 7 รอบก่อนจะโห่ร้องพร้อมกัน แล้วกำแพงจะพังครืนลงมา ใครฟังวิธีรบของพระเจ้าก็ต้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ขำกลิ้ง เพราะมันไร้เหตุผล แต่โยชูวาเชื่อฟังพระเจ้า แล้วท่านก็ชนะ
ปัญญามนุษย์หรือจะสู้พระเจ้าได้
พระธรรมเยเรมีย์ ขยายความว่า ไม่ควรวางใจในคน เพราะคนเป็นแค่เนื้อหนัง ผู้ที่วางใจในคน จะเหี่ยวเฉาอย่างต้นไม้ในทะเลทราย ไร้ผล ไม่ได้อะไร เหมือนดินที่แตกระแหงในถิ่นทุรกันดาร ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น แต่คนที่วางใจในพระเจ้าได้รับพร เหมือนต้นไม้ปลูกไว้ริมน้ำ หยั่งราก แดดส่องก็ไม่กลัว ใบยังเขียวเสมอ ไม่ต้องกลัวปีที่แล้งน้ำ เพราะมันจะยังออกผลเสมอ ( เยเรมีย์ 17:5-8)
การเลือกเชื่อพระเจ้า หรือวางใจคน ใช้วิธีพระเจ้า หรือวิธีของคนยังคง มีให้เราได้ตัดสินใจกันต่อไป ไม่จบสิ้น ฉะนั้นขอให้เราระลึกถึงคำของดาวิด “เข้าลี้ภัยในพระเจ้า ดีกว่าที่จะเชื่อใจในมนุษย์”
ขอให้เราเชื่อวางใจพระองค์ผู้ทรงรักเรา ห่วงใยเรานะครับ รับรองว่าดีแน่







Visitor 291

 อ่านบทความย้อนหลัง