เราต้องเป็น ผู้เริ่ม

 

ศบ.


“ บุคคล​ที่​รด​น้ำ เขา​เอง​จะ​รับ​การ​รด​น้ำ”
(สุภาษิต 11:25)
โลกนี้สอนเราต่างจากพระคัมภีร์ สมัยผมเรียนหนังสือ เราท่องภาษิตว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี” ถ้าเราต้องการสิ่งใด ก็จงไขว่คว้าหาสิ่งนั้นมา ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเอง ใครที่ไหนจะมาช่วยเรา แล้งเราก็ไม่คิดจะช่วยคนอื่น แต่พระคัมภีร์สอนเราตรงกันข้าม “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะได้รับการรดน้ำ” ถ้าเราคิดถึงคนอื่นก่อน เราเองจะได้รับการช่วยเหลือด้วย” ถ้าเราจะได้รับ เราจะต้องให้ คนที่มีความสุข คือคนที่พยายามช่วยให้คนอื่นมีความสุข ถ้าเราปรารถนาจะเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เราต้องช่วยคนอื่นให้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราพยายามช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ ตัวเราเองจะได้รับประโยชน์ เราเองต้องมุ่งมั่นให้ประโยชน์แก่คนอื่น


สมัยที่ผมเข้ามาทำงานที่คริสตจักรใหม่ ๆ เราจัดประชุมกลุ่มเซลล์ตามบ้าน สมัยนั้นสัปดาห์หนึ่ง ๆ ก็มีกันแค่ 4 กุ่มเซลล์ และผมก็ไปร่วมทุกกลุ่มเซลล์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ สิ่งที่สร้างความรำคาญใจผมมาก ก็คือ การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในกลุ่มเซลล์ ไม่มีดนตรีเลย เราร้องเพลงกันปากเปล่า ไม่สนุกนัก คนนำนมัสการพาที่ประชุมไม่ขึ้น พอดีช่วงนั้นมีแหม่ม ลอนเนอร์ มิชชั่นนารีชาสวีเดนมาพักอยู่ในซอยเอกมัย ท่านเปิดสอนกีตาร์ที่บ้าน ประสาที่ผมคิดว่า เราต้องมีเสียงดนตรีในกลุ่มเซลล์ให้ได้ ผมจึงตัดสินใจ ซื้อกีตาร์ยามาฮาตัวหนึ่ง ครับ ซื้อตั้งแต่ยังเล่นกีตาร์ไม่เป็นสักคีย์ เอากีตาร์ขึ้นรถเมล์ทุกวันเสาร์ไปเรียนกีตาร์กับแหม่มที่บ้าน พร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ อีกสองสามคน เล่นเป็นแค่ 3 คอร์ด ก็เล่นประกอบเพลงนมัสการในกลุ่มเซลล์ได้ ภายหลังมีคนสอนผมให้ใช้ กีตาร์ คาร์ไป คาด เปลี่ยนคอร์ด เป็นสูงขึ้นหรือต่ำ ลง โดยเล่นเหมือนเดิม ใช้ประกอบเพลงได้แทบทุกเพลงในหนังสือ ภายหลังผมก็ค่อย ๆ หักคอร์ดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น วันนี้ ผมเล่นกีตาร์เป็น (ไม่ได้ลวดลายอะไร) แต่เล่นประกอบเพลงสั้นต่าง ๆได้ ก็เพราะ อยากให้กลุ่มเซลล์มีเสียงดนตรี พระเจ้าสอนผมหลักการอันเดียวกัน ถ้าเราคิดช่วยคนอื่น พระเจ้าก็จะช่วยด้วย
การทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็เช่นเดียวกัน ผมยังจำ วันที่คริสตจักรของเรามีการทำบัญชี ตามหลังงานคริสตจักร การทำบัญชีเราต้องอาศัยคนทำบัญชี จบบัญชี ซึ่งพี่น้องที่ช่วยงานเหล่านี้ในคริสตจักร มักประกอบอาชีพบัญชีของตนเองในบริษัท หรือรับราชกาจ มีรายได้ดี เงินเดือนค่อนข้างสูง ส่วนบัญชีของโบสถ์เป็นงานฝากอาสาสมัครมาช่วยทำ พี่น้องที่มาช่วยก็ดีเหลือหลาย พอปลีกเวลาได้ก็มาช่วยหอบ ใบเสร็จ ใบสั่งจ่าย เช็ค หัวขั้วเช็ค ใบแสดงค่าใช้จ่ายที่ธนาคารส่งมาให้ (Bank Statement) ในนำฝากเข้าธนาคาร สมุดบันทึกการใช้จ่ายเงินสด ฯลฯ หอบเอากลับบ้าน ไปนั่งถ่างตาทำงานพิเศษ ด้วยใจสมัครให้โบสถ์ ก็ไม่ง่ายและไม่เร็วนักล่ะครับ กว่าจะเสร็จบางที ก็สองสามเดือนตามหลัง เช่น เดือนนี้ สิงหาคม น้องเขาก็เอาบัญชีของเดือนพฤษภาคมมาส่ง แล้วก็หอบเอาชุดใหม่ของเดือน มิถุนายนถึง กรกฎาคม กลับไปลงแขก นั่งถ่างตามทำบัญชีโบสถ์ให้อีก เป็นอย่างนี้ ตลอดมา เราไม่มีวันรู้ฐานะการเงินของคริสตจักรในปัจจุบัน นอกจากถามธนาคาร ตัวเลขล่าสุดที่เรามีเงินฝากในบัญชีเล่มต่าง ๆ ถ้าจะทำให้รู้ได้เดือนต่อเดือน ก็ต้องจ้างคนทำบัญชีมาทำงานเต็มเวลา (หรือครึ่งเวลา ซึ่งไม่รู้จะมีคนประเภทนี้หรือไม่) และเงินเดือนคนทำบัญชี ณ วันนี้ เท่าไรผมไม่ทราบ พี่น้องที่อยู่ในวงการนี้ คงทราบดีกว่าผมเสียอีก แต่ที่ผมพอเดาได้ คือสูงกว่าผู้รับใช้เต็มเวลาในคริสตจักรทั้งหมด เรื่องนี้สร้างความอึดอัดใจให้ผมมาก วันหนึ่ง ผมเจออาจารย์ สมนึก มนตรีเลิศรัศมี ศิษยาภิบาลคริสตจักรปลูกจิต ท่านจบการบัญชีอัชสัมชัญมา ท่านถามผมว่า
“อาจารย์สมเกียรติ ทำบัญชีโบสถ์โดยใช้โปรแกรมอะไร? “
ผมบอกท่านว่า
“ผมกำลังอึดอัดเรื่องบัญชีโบสถ์อยู่ คริสตจักรเรามีงานหลายฝ่าย การใช้จ่ายเงินก็มีการออกใบเสร็จทุกรายการ ผมต้องอาศัยอาสาสมัครมาช่วยหอบ เอกสารเหล่านี้กลับบ้านไปทำ”
ท่านก็แนะนำผมให้ใช้โปรแกรมควิกเคน (Quicken) ของบริษัท อินทรูท เป็นโปรแกรมการเงินกึ่งสำเร็จ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกเชียว อาจารย์ท่านสอนผมให้รู้จักโปรแกรมนั้น ตั้งแต่สมัยโลกคอมพิวเตอร์ยังไม่มีวินโดว์ ยังใช้ระบบดอสอยู่ เขาก็มี โปรแกรมควิกเคน สำหรับดอส แต่ด้วยอารามที่ผมคิดว่าจะต้องหาวิธีให้ โบสถ์รู้ฐานะการเงินทันเวลา เดือนต่อเดือนให้ได้ ไม่ต้องอาศัยคนทำบัญชีมืออาชีพ ที่ต้องหอบงานไปทำไล่หลัง 3-4 เดือน อย่างที่เป็นมา ผมก็ทุ่มเทเรียนรู้โปรแกรมควิกเคนจนเข้าใจ แล้วหาน้องคนทำบัญชีที่รู้จักคอมพิวแตอร์ รู้คณิตศาสตร์เบื้องต้น เต็มใจเรียนรู้ มาเรียนรู้จากผม โบสถ์ของเราจึงหลุดพ้นจากปัญหาเดิม ๆ เหล่านั้นเป็นต้นมา ผมเจออาจารย์สมนึกก็ขอบคุณท่านเสมอ และที่สำคัญก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเราแก้ปัญหาให้คริสตจักรของพระองค์ ผมทำโปรแกรมควิกเคนเป็นก็เพราะคิดจะช่วยงานโบสถ์ หลักของพระคัมภีร์ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร “เราที่รดน้ำ จะได้รับการรดน้ำ”
ตะลันที่พระเจ้าให้เรา ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ก็เพราะเราปฏิบัติ เราลงมือทำงาน เรานำมันออกมาใช้เพื่อช่วยคนอื่น สเปอร์เจียน กล่าวว่า “ธรรมดาพลังของการการพัฒนา มักถูกซ่อนเอาไว้ในตัวของเรา มันนิ่งเงียบอยู่ จนกว่าเราจะนำมันออกมา กล้าสู้เพื่องานของ พระเจ้า” คนเรามีพลังที่ซ่อนอยู่ มีสมองที่สามารถคิดได้อีกมาก ซึ่งพร้อมจะออกฤทธิ์ เกิดผล แต่มันตายไปกับเจ้าตัว ผู้ไม่ยอมลุกขึ้นมาช่วยใครอย่างน่าเสียดาย และเจ้าตัวก็อยู่ในโลกอย่างเศร้าสร้อย น่าเบื่อหน่ายเสียด้วย สเปอร์เจียนยังกล่าวต่อไปว่า “เราจะไม่อาจเข้าใจความทุกข์ของคน หรือสงสารคนอื่น จนกว่าเราจะลงมาเช็ดน้ำตาแม่ม่าย และช่วยเด็กกำพร้า” เราอาจเดินเหินอยู่บนฟ้า และเข้าใจคนจากตำรา แต่การเข้าใจคนอย่างแท้จริง คือการนั่งอยู่กับคนที่ทุกข์ใจ และร่วมทุกข์กับเขา การรดน้ำคนอื่นทำให้เราถ่อมใจ และเดินได้ติดดินที่เดียว
เปาโล บอกว่า “การสอนคนอื่น ทำให้เราสอนตนเองด้วย” และคนเราสอนคนอื่นได้ ในสิ่งที่เราเองได้เรียนรู้ เวลาเราสอนเขาว่า เราควรสัตย์ซื่อในการถวายสิบลด เราคงสอนไปได้ไม่ยืดยาวนัก หากเราเองไม่ยอมถวาย มันคงแทงใจเราเช้าเย็น หากเรายังดันทุรังพูดสิ่งที่เราไม่ได้กระทำ การตั้งใจจะเป็นครู จักมักทำให้เราเป็นนักเรียนที่ขยัน “การรดน้ำ ทำให้เราได้รับการรดน้ำด้วยเสมอ


พระเยซูสอนเราถึงแก่นแท้ยิ่งกว่านั้น นั่นคือ
เราต้องเริ่มต้นที่พระเจ้า
พระเยซูทรงเป็นแบบ พระองค์เป็นผู้ริเริ่ม พระองค์ทรงรดน้ำให้เราโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน จึงเป็นเรื่องง่ายที่เราจะดำเนินตามรอยพระบาทพระองค์ พระองค์ทรงอภัยให้แก่คนทำผิดที่กลับใจ พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา พระองค์ทรงเมตตาเรา จึงง่ายที่เราจะเมตตาคนอื่นด้วย
ในเมื่อเราได้รับการรดน้ำจากพระองค์ จึงง่ายที่เราจะรดน้ำให้แก่คนอื่น และเมื่อเราทำให้คนอื่น ช่วยคนอื่น ไม่ต้องกังวลน่ะครับ ไม่ช้าก็เร็ว เราจะได้รับการรดน้ำกลับมา หลายคนบอกว่า “เริ่มที่เราเองมันยาก ให้เขาเริ่มก่อนซิ เริ่มรดน้ำให้เขามันยาก โดยเฉพาะคนที่ไม่น่ารัก ให้เขารดน้ำเราก่อนซิ และเราจะรดน้ำให้เขาเท่าไรเท่ากัน” นั่นมันระบบของโลก ไม่ใช่ระบบของพระคัมภีร์ ในโลกมีคนแบมือขอความรักกันไปทั่ว และเราไม่ยอมให้ใคร ก็เพราะเขาไม่ได้ให้เรา แต่พระเยซูทรงเริ่มกับเราก่อน รักเราก่อน อภัยเราก่อน ให้โดยพระคุณ ไม่มีเหตุผลอะไรสักนิด พระองค์ประทานให้เราโดยไม่หวังตอบแทน ง่ายนิดเดียว เพียงเราตอบสนองความรักของพระเยซู และมอบความรักอย่างเดียวกับพระองค์ให้คนอื่น โดยมิได้นั่งรอนอนรอว่า เมื่อใดใครจะรดน้ำให้บ้าง ครับ โดยมิได้นั่งรอนอนรอการรดน้ำกลับ พระพรที่ตามมา พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้เรา ครับ

“คนที่รดน้ำ จะได้รับการรดน้ำ”


ขอพระเจ้าอวยพรครับ














Visitor 131

 อ่านบทความย้อนหลัง