คลั่งหรือเป็นปกติชน

ศบ.


ผมจะเล่าเรื่อง หัวข้อนี้ให้ฟังก่อน
เฟสตัส ข้าหลวงแคว้นยูเดียของโรมคนใหม่ เล่าเรื่องเปาโล คนที่ถูกพวกยิวฟ้องให้กษัตริย์เฮโรด อาคริปปา ผู้มาเยือนฟัง กษัตริย์อากริปปา ทรงประสงค์จะฟังเปาโลแก้คดี ท่านจึงจัดให้เปาโลได้มาชี้แจงหน้าพระพักตร์ พร้อมเจ้าขุนมูลนาย นายทหารและคนสำคัญในเมืองฟัง

เปาโลฉวยโอกาสนั้น เป็นพยานชีวิตของตนให้กษัตริย์ฟัง ท่านเล่าว่า ในอดีตนั้น ตนเป็นฟาริสีที่เคร่งครัดพระบัญญัติแค่ไหน ตนไม่ชอบพระเยซูและคริสเตียนอย่างไร เปาโลตามไปข่มเหงผู้เชื่อทุกแห่งหนด้วยความเคียดแค้นแค่ไหน วันหนึ่งท่านพบพระเยซู สนทนากับพระองค์ ชีวิตท่านเปลี่ยนจากหน้ามือ เป็นหลังมือ จากเสือกลายเป็นลูกแมว ท่านเล่าว่า ท่านออกไปประกาศพระกิตติคุณตามพระบัญชาอย่างไร


แต่พอเปาโลพยายามชักชวนให้กษัตริย์เชื่อพระเยซู เท่านั้นแหละ เฟสตัสก็ร้องว่าเปาโล คลั่ง เพ้อเจ้อ “เปาโลเอ๋ยเจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้มากจึงทำให้เจ้าคลั่งไป” แต่เปาโลแย้งว่า “ท่านเฟสตัสเจ้าข้า ข้าพเจ้ามิได้คลั่งเลย แต่ว่าได้พูดคำสัตย์จริง และคำที่ปกติชนจะพูด”(กิจการ 26:24-25)ผมจึง ตั้งหัวข้อว่า “คลั่ง หรือ ปกติชน”
การเป็นคริสเตียน ที่เป็นพยาน ว่า อดีตตนเป็นอย่างไร พบพระเยซูแบบไหน พบแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างไร เป็นชีวิตของคริสเตียนปกติ หรือเป็นคริสเตียนที่บ้าคลั่งเพ้อเจ้อ การพยายามประกาศพระกิตติคุณ มุ่งให้คริสตจักรขยายเป็นการบ้าศาสนา หรือเป็นปกติของคริสตชน การเรียนพระคัมภีร์ อธิษฐานฟังพระสุรเสียง เป็นคริสเตียนพิเศษ หรือเป็นคริสเตียนธรรมดา ๆ เปาโล แย้งเฟสตัสว่า ทั้งหมดที่ตนเองปฏิบัติตั้งแต่เชื่อพระเยซูมา ออกไปประกาศตั้งคริสตจักร เป็นเรื่องของคริสเตียนปกติชน น้อยลงไปกว่านี้มัน ผิดจากปกติคริสเตียน นี่คือมาตรฐานของคริสเตียนในพระคัมภีร์ใหม่


พระเยซูสอนสาวกว่า “ผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:26-27)
นี่คือมาตรฐานของพระเยซู แล้วที่เมืองอันทิโอก “พวกสาวก” (พวกที่สละชีวิตตามพระเยซู) ได้ชื่อว่า เป็นคริสเตียนครั้งแรก (กิจการ 11:26) พูดกันให้ชัด ๆ คริสเตียนก็คือ คนที่เอาพระเยซูเป็นที่หนึ่ง รักพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งรับแบกกางเขนที่พระเจ้าให้แบกเสียด้วย ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปได้อย่างไร บางคนบอกผมว่า “ผมเป็นคริสเตียน (ธรรมดา ๆ) เป็นสาวก”
ผมเคยได้ยินนักเทศน์ เทศนาเรื่อง คริสเตียน 3 ประเภท อันได้แก่(1) คริสเตียนฝ่ายวิญญาณ (2) คริสเตียนปกติธรรมดา และ (3) คริสเตียนเนื้อหนัง ผมสรุปคำเทศน์ ของเขานะครับ เขาว่า ประเภทแรก คริสเตียนฝ่ายวิญญาณคือคนที่เคร่ง ขยันอ่านพระคัมภีร์ มาโบสถ์ เฝ้าเดี่ยว รับใช้ ประกาศ ประเภทที่สอง คริสเตียนปกติ ธรรมดา คือคริสเตียนที่ไม่เคร่ง แบบเรา ๆ ท่าน ๆ (ว่าเข้านั่น ) โบสถ์ก็มา ๆ ขาด ๆ พระคัมภีร์ก็ไม่อ่าน หรืออ่านนิด ๆ หน่อยๆ พอเป็นกระสาย งานพระ ก็จับพอไม่ให้มีใครว่าได้ ประเภทที่สาม คริสเตียนเนื้อหนัง ก็คือ คริสเตียนที่ยังทำบาป เช่น ผิดประเวณี ซื้อหวยเล่นเบอร์ 

แล้วเขาก็สรุปต่อไปว่า ทั้งสามประเภทนี้ ได้ไปสวรรค์ทั้งหมด เพราะเชื่อพระเยซู ความเชื่อไม่ขึ้นกับการประพฤติของเรา แต่พึ่งความประพฤติของพระเยซู เพื่อไม่ให้มีใครอวดได้ เขายังอธิบายต่อไปว่า แตกต่างกัน ก็ที่รางวัล พวกเคร่งก็จะได้รางวัลใหญ่เป็นมงกุฎไม่ร่วงโรย ส่วนคริสเตียนธรรมดา ก็มีรางวัลน้อยหน่อย พวกสุดท้ายไปสวรรค์ แบบไม่มีรางวัล แต่รอดเหมือนรอดจากไฟ ทั้งหมดนี้เขาเอาพระคัมภีร์ตอนนั้นมาโยงกับตอนนี้ อ้างพระคัมภีร์แบบผูกโยงโน่น นี่ นั่น น่าเชื่อถือ ซึ่งผมจะไม่ขอหยิบพระคัมภีร์ที่อ้างมาเขียนตรงนี้


ผลที่ตามมาก็คือ วงการคริสเตียนเต็มไปด้วย คนที่ ขันอาสา สมัครเป็นคริสเตียนธรรดา กับ คริสเตียนเนื้อหนังเต็มไปหมด ผมเคยได้ยินคนพูด “ใครอยากเป็นคริสเตียนร้อนรนก็เชิญ สำหรับผม ผมขอเป็นแค่คริสเตียนปกติ ธรรมดา ๆ ไม่หวังรางวัลอะไรในสวรรค์ พร้อมเป็นยาจกในโลกหน้า แค่ได้เข้ารั้วสวรรค์ก็พอ”


ฉลาดแท้! ในโลกนี้ก็ขอเสวยสุขทุกอย่าง อะไรที่ชาวโลกทั่วไปเขาทำกัน นับตั้งแต่ เหล้ายาปลาปิ้ง ปิ๊งแม่ค้า บ้ารำวง หลงวัตถุ หลงอำนาจ เป็นทาสหวย ในโลกนี้ เขาขอคว้าเอาทั้งหมด ยังแถมในโลกหน้าจะได้ไปสวรรค์ด้วย เพราะเชื่อในไม้กางเขนของพระเยซู (ที่คนต่างศาสนาเขาไม่เชื่อกัน) เป็นอันว่าได้สองต่อ คือ คว้าความสุขทุกอย่างของโลกนี้ และยังได้โลกหน้าด้วย
บางคนบอกผมว่า ไอ้ประเภทนี้มันก็เกินไป! ตนไม่ถึงขนาดนั้น ขอเป็นแค่คริสเตียนปกติ คือ ไม่ถึงกับหลงโลกีย์ แค่เป็นคริสเตียนแบบเฉย ๆ ธรรมดา ๆ “บาปไม่ทำ กรรมไม่ก่อ” เชื่อพระเยซู แต่ไม่ขอแบกกางเขนใด ๆ และนักเทศน์ก็รับประกันว่าจะได้ไปสวรรค์แน่ ส่วนมงกุฎอะไรในสวรรค์นั้น ตนไม่เคยคิดอยากได้ ปล่อยให้พวกร้อนรนเขาเอาไป นี่ก็ฉลาดไม่เบา


ฟังแล้ว ผมทั้งตกใจ และทั้งโกรธผมโกรธ เพราะคำสอนอย่างนี้ พาคริสเตียนลงเหวอย่างแท้จริง มันไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักคำสอนของพระเยซู หรือพระคัมภีร์สักนิด พระเยซูไม่เคยแบ่งสาวกเป็นสองประเภท หรือสามประเภท มีแต่ประเภทเดียว มีแต่คนที่เชื่อฟัง กับคนที่ไม่เชื่อฟัง ที่พระองค์เรียกว่าแพะกับแกะ แกะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ส่วนแพะรับโทษเป็นนิตย์ (มัทธิว 25:32) มีแต่ข้าวดี กับข้าวละมาน ข้าวดีเอาเข้ายุ้ง ส่วนข้าวละมานเอามาเผาไฟ (มัทธิว 13:25) ครับ ในกิจการก็เช่นเดียวกัน มีคนที่เข้าเป็นสาวก กับที่มิได้เข้าเป็นสาวก (กิจการ 2:47;4:4;5:14;6:7;11:26;14:22)


ธรรมดาของสาวก หรือคนที่พบพระเจ้า จะอยากใกล้ชิดพระเยซู ฟังพระสุรเสียง เชื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน ร้อนรน อยากประกาศ อยากช่วยคนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า อยากสามัคคีธรรมกับพี่น้อง แต่ก่อนเราอยู่เพื่อตัวเราเอง เมื่อมาเป็นสาวก เราอยู่เพื่อพระเยซู พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)


การเร่าร้อนรับใช้พระองค์ จึงเป็นลักษณะของสาวกในพระคัมภีร์ใหม่ทั่วไป เวลาอาจารย์เปาโล กล่าวว่า “มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณไม่ได้” (1 โครินธ์ 2:14) ท่านหมายถึง คนที่ไม่เป็น คริสเตียน ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ ท่านต่อว่าคริสเตียนที่โครินธ์ ว่าทำไมจึงถอยกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนนอก ”ท่านไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือ” (1 คร. 3:3-4 ) คริสเตียนที่พบพระเจ้า ดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระองค์ อาจหลงทำผิด ออกนอกทางได้ ซึ่งไม่ควรจะเกิด และหากเราออกนอกทาง เมื่อเราทราบ เรารู้ พระเจ้าเตือน เราต้องจริงใจหันกลับมาเดินในทางที่ถูกอย่างสาวกปกติของพระเยซู เหมือน เปโตร แต่นี่ไม่ใช่อีกประเภทหนึ่งที่ถือเป็นปกติในพระกายพระคริสต์


การกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า อยากรับใช้ ขยันประกาศพระกิตติคุณ ปรารถนาให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ จึงเป็นลักษณะของคริสเตียนปกติชน หาได้คลั่งอย่างเฟสตัสต่อว่าเปาโลแต่อย่างใดน้อยกว่านี้ซิ ไม่รู้แปลว่าอะไร
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ














Visitor 159

 อ่านบทความย้อนหลัง