ทรงเรียกให้เรานำคน
ศบ.


มาระโก 1:16-18
16 ขณะที่​พระ​องค์​เสด็จ​ไป​ตาม​ชาย​ทะเลสาบ​กาลิลี ​ก็​ทอด​พระ​เนตร​เห็น​ชาวประมง​สอง​คน​คือ ซีโมน​และ​อันด​รูว์​น้อง​ของ​ซีโมน กำลัง​ทอดแห​อยู่​ที่​ทะเลสาบ​ 17 ​พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด และ​เรา​จะ​ตั้ง​ท่าน​ให้​เป็น​ผู้​หา​คน​ดัง​หา​ปลา” 18 เขา​ก็​ละ​แห​ตาม​พระ​องค์​ไป​ทันที​
ผมเคยเดินทางไปประเทศอิสราเอล อยู่ที่นั่น 7 วัน ไปค้างคืนที่ชายฝั่งทะเลกาลิลี คืนหนึ่ง กาลิลีเป็นทะเลสาปน้ำจืด เนื้อที่ประมาณ เป็นทะเลที่มีน้ำไหลผ่าน ธารน้ำไหลมาจากภูเขาไหลลงในทะเลสาปกาลิลี และไหลออกทางแม่น้ำจอร์แดน เนินเขารอบ ๆ กาลิลีจึงมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่ม รื่นรมย์ ในทะเลก็มีปลาชุกชุม เราได้รับประทานปลากะพงที่เขาจับมาจากทะเลด้วย บรรยากาศยอดเยี่ยม
สมัยพระเยซู เขาประมาณกันว่า มีเรือหาปลาของชาวประมง รอบ ๆ กาลิลีประมาณ 300 ลำ แต่พระเยซูก็เรียกชาวประมง 4 คน สองคนแรกเป็น ซีโมน และแอนดรูว์ สองคนถัดมาคือ ยากอบ และยอห์น บุตรเศเบดี ทั้ง 4 คนติดตามเป็นสาวกของพระองค์ มาระโกเขียนการที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขา และพวกเขาติดตามพระเยซู (มาระโก 1:16-20) ฟังดูแล้วง่ายจัง แต่ถ้านำพระคัมภีร์เล่มอื่นมาเทียบเคียง ก็พอจะเห็นขั้นตอน และรู้คุณลักษณะของพวกเขา ซึ่งผมจะขอเขียนเป็นข้อ ๆ
(1) พวกเขาเป็นคนสามัญ หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้ยากจน อดหยากปากแห้ง แต่เป็นคนทำงาน ขยันขันแข็งด้วย กลางคืนออกจับปลา จับได้ก็เอาปลามาขาย ได้เงินทองเลี้ยงดูครอบครัว ซีโมนมีบ้าน มีภรรยา มีแม่ยาย (ลูกา 4:38) บางคนบอกว่า ถ้าตกงาน ถ้าไม่มีอะไรทำแล้ว ก็จะออกรับใช้พระเจ้า แต่พระเยซูเรียกพวกเขาขณะเป็นคนทำงานอยู่ในงาน
(2) พวกเขาใฝ่หาพระผู้ช่วย
ยอห์น 1:35 รุ่งขึ้น อีกวันหนึ่ง ยอห์น(ผู้ให้บัพติสมา)กำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน และท่านมองดูพระเยซู ขณะที่พระองค์ทรงดำเนิน แลกล่าวว่า”จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” อันดรูว์ กับยอห์น เป็นลูกศิษย์ของยอห์น ผู้ให้บัพติสมา ทั้งสองฟังยอห์น เทศนาที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน คงฟังมาเป็นระยะ ๆ ยอห์น บัพติสโต พูดถึงการเตรียมตัวให้พร้อม รับพระเมสสิยาห์ คือพระคริสต์ที่จะเสด็จมา ยอห์นเอง ประกาศชัดว่าตนไม่ใช่พระคริสต์ เป็นแค่ผู้นำทาง วันหนึ่งเมื่อพระเยซูเสด็จมาที่นั่น ยอห์นแนะนำให้ทั้งสองรู้จักพระเยซู ทั้งสองติดตามพระเยซูไปพักกับพระองค์ เห็นที่ที่พระองค์พัก อันดรูว์ตื่นเต้นมาก มั่นใจว่าตนพบพระเยซู จึงไปบอกซีโมน พี่ชายของตน “เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว” (ยอห์น 1:41) พาซีโมน พี่ชายไปเข้าเฝ้าพระเยซู พระเยซูทำนายอนาคตของซีโมน ในวันนั้นว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีน่ะ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา) นี่คือจุดเริ่มต้นที่ ซีโมนและอันดรูว์ มารู้จักพระเยซู
ผมเดาว่า อันดรูว์ ยอห์น ซีโมน และยากอบ คงคุยกันเรื่องที่ยอห์น ผู้ให้บัพติสมาพูด เรื่องพระคริสต์ที่จะเสด็จมาไถ่โทษมวลมนุษย์ คงได้ถกกัน แล้วก็คงจะตื่นเต้น นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา นี่คือพระบุตรพระเจ้าที่จะเสด็จเข้ามาในโลก นี่คือพระผู้ไถ่ จะมีอะไรวิเศษกว่า การที่เราจะได้รู้จักพระองค์ แม้พวกเขามิได้เป็นรับบี ที่อ่านหนังสือม้วน ในพระวิหาร แต่เท่าที่เคยร่ำเรียนมา ในธรรมศาลาสมัยเป็นเด็ก ก็รู้ว่า นี่คือพระผู้ที่ชาวยิวทั้งหลายรอคอย น่าตื่นเต้นแท้ คนในโลกนี้มี 3 แบบ(1) ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น (10%) (2) รู้ว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น เป็นคนส่วนมาก(80%) (3) รู้ว่ากำลังมีอะไรเกิดและพร้อมมีส่วนร่วมให้มันเกิด (10%)
(3) อยากรู้จักพระเยซูมากขึ้น
พระเยซูไม่เคยปิดบังพระองค์เอง แก่คนที่อยากรู้จักพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” (ยอห์น 8:12) พระองค์เชิญชวนพวกเขาไปยังที่ที่พระองค์พัก “มาดูเถิด” วันนั้นเขาได้พักอยู่กับพระองค์ (ยอห์น 1:38-39) เมื่อเปโตรหาปลาตลอดคืนไม่ได้ปลาสักตัว หลังจากทรงยืมเรือของซีโมน เปโตรใช้เป็นเวทีสอนประชาชน ก็สั่งเปโตรให้ถอยไปยังที่น้ำลึก เพื่อจับปลา กลางวัน นะครับ วันนั้นเปโตรจับปลาได้มากเต็ม 2 ลำเรือ จนเรือเพียบ เปโตรจึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซู ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างข้าพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป” วันนั้น ทัศนคติของเปโตร อันดรูว์ ยอห์น ยากอบ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พระเยซูไม่ใช่ลูกช่างไม้ หรือครูสอนพระคัมภีร์ธรรมดา ๆ พระองค์คือ พระบุตรพระเจ้า ปกติ พระเจ้าไม่เคยต้องการให้ใครหลับหูหลับตาเชื่อถือพระองค์ การรู้จักพระองค์เพื่อความมั่นใจ เป็นสิ่งดี ขณะเดียวกัน พระองค์ก็มิได้บีบบังคับให้ใครรู้จักพระองค์ เมื่อเราใฝ่รู้ กระหายอยากรู้จักพระองค์ เมื่อเราเปิดจิตใจ พระองค์ก็ทรงสำแดงให้เรารู้จักพระองค์ยิ่งมากขึ้น เราต้องเสาะหา ยากอบกล่าวว่า “ผู้ใดในพวกท่าน ขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณา และมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ” (ยากอบ 1:5)
(4) พระเยซูเชิญชวนให้รับใช้ วันที่จับปลาได้มากมโหฬารนั้น พระองค์ตรัสกับเปโตรว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นผู้จับคน (ดั่งหาปลา)” (ลูกา 5:10) ในพระคัมภีร์ พระเจ้าเรียก โนอาห์ให้สร้างนาวา เรียกอับราฮามให้ออกมาจากเมืองเออร์ เรียกโมเสสให้ไปหาฟาโรห์ เรียกกิเดโอนให้ต่อสู้กับคนมีเดียน เรียกพระนางเอสเธอร์มาช่วยคนยิว เรียกเนหะมีย์ให้กลับมาสร้างกำแพง เรียกเปาโลให้ประกาศแก่คนต่างชาติ หลายคนตอบผมว่า ถ้า พระเจ้าเรียกผม ผมจะรับใช้พระเจ้าแน่ ผมกำลังรออยู่ว่าเมื่อใดพระเจ้าจะทรงเรียก มีคนถามอาจารย์ ที แอล ออสบอร์น ว่า พระเจ้าเรียกท่านอย่างไร ท่านตอบว่า พระเจ้าตรัสกับท่านในมัทธิว 28:19 ว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา” อาจารย์กำลังบอกเราว่า เราไม่ต้องรอการทรงเรียกพิเศษอะไรหรอก วันนี้ โลกที่ไม่รู้จักพระเจ้ารอเราอยู่ต่างหาก พระเยซูตรัสว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอน พระองค์ผู้เป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” (มัทธิว 9:37-38) ใครจะตอบคำอธิษฐานนี้
(5) ขานรับการทรงเรียก
“เมื่อเขานำเรือมาถึงฝั่งแล้ว เขาก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ตามพระองค์ไป” (ลูกา 5:11) มาระโก สรุปการทรงเรียกว่า “เขาก็ละทิ้งแหตามพระองค์ไปทันที” (มาระโก 1:18) ส่วนสาวกอีกสองคน มาระโกสรุปว่า “ทันใดนั้นพระองค์ทรงเรียกเขา เขาจึงละเศเบดี บิดาของเขาไว้ที่เรือกับลูกจ้าง และได้ติดตามพระองค์ไป” (มาระโก 1:20) พระเยซูทรงเชิญชวนให้รับใช้ แต่การตัดสินใจ ต้องเป็นของเรา พระองค์ไม่อาจบังคับใคร ฝรั่งเขามีภาษิตว่า “เราจูงม้าไปถึงลำธารน้ำได้ แต่เราบังคับม้าให้ดื่มน้ำไม่ได้” ดร. บิลลี เกรแฮม กล่าวว่า “ไม่ใช่ท่านแล้วใคร ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วเมื่อไหร่” มีผู้ถามผมมากกว่า รับใช้พระเจ้าแปลว่าจะต้องออกจากงานอาชีพ แบบ ชาวประมงเหล่านั้น เดินต๊อก ๆ ตามพระองค์หรือ เรารับใช้พระองค์ ในอาชีพของเราไม่ได้หรือ พอผมบอกว่า “ได้ อยู่ในอาชีพเดิมและรับใช้ในอาชีพนั้น ๆ” เขาก็บอกว่า “ขอบคุณมาก” แล้วเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม คือ ไม่ได้ทำอะไร งานพระเจ้าก็ไม่มีใครทำเหมือนเดิม หรือทำนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นกระสาย คริสต์ศาสนา เข้ามาในประเทศไทย เกือบ 200 ปี ถึงได้มีผู้เชื่อ อยู่ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์
(6) ขานรับอย่างไร
ชาวประมงเหล่านั้น ไม่ได้นำคนเก่งขึ้นมาทันทีทันใด แต่เขาตัดสินใจมีเป้าหมายใหม่ในชีวิต แต่เดิม เป้าหมายหลัก คือจับปลา หาเงินเลี้ยงชีพ ทุกวันคิดถึงแต่เรื่องนี้ อะไร ๆ ที่ทำ ก็ทำเพื่อเรื่องนี้ วันนั้นเขามีเป้าหมายใหม่ คือ นำคนมาหาพระเยซู เขาเรียน เขารู้ เขาฝึกหัด เก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเขาไม่ต้องกินต้องใช้หรือ พระเยซูไม่ต้องการให้เราห่วงกังวลเรื่องนี้ “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน ว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม อย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ” (มัทธิว 6:25) “ชีวิต” ที่พระเยซูตรัสแปลว่าอะไร ก็คือ “การช่วยชีวิตคนยังไงล่ะ” พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูเรา เมื่อเรามุ่งมั่น นำคนมาถึงพระองค์เป็นหลัก ปัญหาของชาวประมง คือ ญาติ เรือ แห อวน คนงาน การหาปลา เพื่อเลี้ยงปากท้อง ที่เคยเป็นหลักในชีวิต เขามีหลักใหม่แล้ว คือ การนำคนมาเป็นสาวก คนเรามีเรื่องหลัก เรื่องเอกในชีวิตอย่างเดียว พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้า และปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:24)
“เพื่อการกินดีอยู่ดี หรือ เพื่อแผ่นดินพระเจ้า” ถ้าการกินดีอยู่ดีเป็นหลัก แผ่นดินพระเจ้าก็คือตัวเสริม ถ้าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นหลัก การกินอยู่ก็เป็นแค่ตัวเสริม พระเยซูเชิญชวนเราว่า คนต่างชาติ คือ กระแสสังคมทั่วไปเขา แสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ ถามว่า พระเยซูไม่ทราบหรือว่าเราต้องกินต้องใช้ ต้องมีที่หลับที่นอน ฟังพระองค์ตอบน่ะ “แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้” มีหรือพระองค์ไม่ดูแล ดูนกซิ ดูดอกไม้ในทุ่งนาซิ ทีนี้พระเยซูทรงชักชวน “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” ผมแปลน่ะ “แผ่นดินของพระเจ้า” “การนำคนมาถึงพระคริสต์” ต้องเป็นเรื่องเอกยังไงล่ะ แล้วปากท้องของเราล่ะ “แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มัทธิว 6:32-33) ครับ ปากท้อง พระองค์ทรงสัญญาจะเพิ่มเติมให้ยังไงล่ะ
พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนี้ เฉพาะกับชาวประมง แต่ตรัสกับเราทุกคน “เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33) แน่นอน พระองค์มิได้หมายความว่า ให้เราทิ้งบ้านช่อง อาชีพการงาน แต่สิ่งที่เคยเป็นเอกในชีวิตเรา ให้มันเป็นรอง และให้การขยายแผ่นดินพระเจ้าเป็นเอก เป็นที่หนึ่งสำหรับเรา
วันนี้มีคริสเตียนในประเทศไทยประมาณ 3 แสนคน ขณะที่ประชากรไทยมีถึง 60-70 ล้านคน ผมสอนพระธรรมกิจการ และดูประวัติคริสตจักรรุ่นแรก ที่ขยายในอาณาจักรโรมันอย่างรวดเร็วมาก ผมแลเห็นสิ่งนี้ คือ สำหรับคริสเตียนตอนนั้น การขยายแผ่นดินพระเจ้านั้น เป็นที่หนึ่งในชีวิต เป็นเรื่องเอกสำหรับพวกเขา “ฝ่ายศิษย์ที่กระจัดกระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น” (กิจการ 8:4) สาวกเหล่านั้น อาชีพอาจขึ้น อาจลง อาจเริ่ม อาจเลิก แต่แผ่นดินพระเจ้าต้องรุ่ง ภายใน 2-3 ศตวรรษ คนเข้ามาเป็นคริสเตียนประมาณ ครึ่งอาณาจักรทีเดียว ขอพระเจ้าช่วยให้เราเรียงลำดับความสำคัญตามพระเยซูน่ะครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพร





Visitor 202

 อ่านบทความย้อนหลัง