ใช้ตะลันด้วยความรัก

ศบ.
คนเราเกิดมาในโลก มีความสามารถแตกต่างกัน เราถนัดกันคนละอย่าง เอเทล วอเตอร์ กล่าวว่า “เราต่างคนต่างมีความสามารถพิเศษ นี่คือมรดกที่พระเจ้าทรงประทานให้” และคนเราทำอะไรได้ดี ถ้าเราตามความสามารถนั้น รัลพ์ วอลโด อีเมอร์สัน กล่าวว่า “การพยายามทำอะไรนอกเหนือจาก ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เรามา เราจะโตไม่ได้”

 


1. พรสวรรค์ที่ทรงประทานให้ ก็เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ลูกของอาดัม สองคนแรก ชอบไม่เหมือนกัน คาอินคนพี่ ชอบทำไร่ไถนา อาเบล คนน้องชอบเลี้ยงแกะ ความจริง ชอบไม่เหมือนกันสิดี จะได้พึ่งพาอาศัยกัน เมื่อรักกัน ก็จะเกิดประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ อยู่อย่างตัวใครตัวมัน
อาเบลเจนเลี้ยงแกะ เป็นนิสัย
คาอินผินผิดไป จากน้อง
ชอบทำสวนพรวนไร่ ปลูกผัก
ต่างกันมันสอดคล้อง เพราะต้องพึ่งกัน
แกงสมันกันเลี่ยนต้อง ใส่ผัก
แกงจืดรสชืดมัก ขาดเนื้อ
ไถนาจักหนาหนัก หากขาด กระบือเฮย
กสิกรรมช่วยอวยเอื้อ ก่อเกื้อสัตวบาล

การขัดแย้งแข่งขัน อิจฉาตาร้อน ทำให้คาอิน ฆ่าเอเบลน้องของตน แทนที่จะรักน้อง แทนที่จะส่งเสริม และอิ่มเอมเปรมปรีด์กับ ความ สามารถของน้อง และอำนวยอวยเอื้อกันและกัน
ตะลัน หรือความถนัด ที่เรามีมาตั้งแต่เกิด เช่น วาดเขียนเก่ง ทำอาหารอร่อย ร้องเพลงไพเราะ คิดเลขเร็ว เล่านิทานสนุก ซ่อมเครื่องยนต์ ทำไฟฟ้า เลี้ยงสัตว์ ทำสวน เป็นความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์แต่ละคน ที่เราเรียกว่า พรสวรรค์ ความสามารถที่เรามีเช่นนี้ เป็นดั่งทรัพย์ ที่นายมอบให้แก่คนต้นเรือน เพื่อนำไปลงทุนค้าขายให้เกิดกำไร กำไรคืออะไร คือ การทำให้ได้ผลงอกเงย เกิดประโยชน์กับแผ่นดินพระเจ้า หรือ ช่วยเหลือคนอื่น โยเซฟบริหารงานเก่ง จัดระเบียบให้บ้านของโฟทิฟาร์ และประเทศอียิปต์ ดาวิด ดีดพิณเก่ง ขันอาสาไปเล่นดนตรี กล่อมพระทัย กษัตริย์ซาอูล ดาวิดใช้สลิงเก่ง ขันอาสาไปรบกับยักษ์ปกป้องชาติ สมัยโมเสส พระเจ้าทรงประทานพรสวรรค์ให้ บาซาเลล เป็นช่างฝีมือออกแบบประตู (อพย31:2-4) โยเซฟ และพระเยซู เป็นช่างไม้ ทำงานช่วยครอบครัวที่ยากจน เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าทรงดำริล่วงหน้าให้เรากระทำ
ของประทานฝ่ายพระวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อเราเป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ พระเจ้าทรงประทานความสามารถอีกอย่างหนึ่งให้เรา เป็นความสามารถฝ่ายวิญญาณ เช่น การเผยพระวจนะ การสั่งสอน การเผยแพร่ การหนุนใจเตือนสติ การบริหาร การบริจาค การปรนนิบัติ การอภิบาลศิษย์ การรักษาโรค การต้อนรับแขก เป็นต้น

 


2. คริสตจักรเพิ่มพูนเมื่อเราใช้ของประทาน
ความสามารถพิเศษเหล่านี้ มาจากพระวิญญาณ พระองค์ทรงประทานให้เราอย่างเดียวกับ ตะลันที่เราได้รับมาตั้งแต่เกิด พระองค์ประทานให้เราตามชอบพระทัยพระองค์ เพื่อให้เราใช้ให้เกิดประโยชน์กับคริสตจักร และผู้ที่เกี่ยวพันด้วยพูดง่าย ๆ ก็คือพระองค์ประสงค์ให้เราใช้ความสามารถนี้ เพื่อช่วยคนอื่น และเพื่อขยายพระราชกิจของพระองค์ ไม่ใช่เก็บไว้กับตัว เปาโลเปรียบคริสตจักร เหมือนร่างกายคน บางคนเป็นปาก เป็นตา เป็นหู เป็นมือ เป็นแขน คนเราจะอัมพาต พิการทันที หากปากไม่พูด ตาไม่มอง มือไม่ขยับเขยื้อน ไม่ทำงานทำการ หรือก้าวไปได้ก็ทุลักทุเลเต็มที ท่านลองซักผ้าโดยใช้มือข้างเดียวดูซิ ว่ามันยากแค่ไหน แต่ในคริสตจักรบางทีก็เป็นอย่างนั้น คือ ผู้มีความสามารถเก็บ ความถนัดนั้นฝังดินซะเฉย ๆ ทุกอย่างก็คืบคลานไปอย่างเชื่องช้า ตรงกันข้าม ถ้าทุกอวัยวะทำงาน คริสตจักรก็วิ่งฉิว เพิ่มพูน

 


3. ผู้ใช้ของประทานมีความสุข
ความสามารถที่เรามีนี้ ช่วยผู้ใช้ด้วย ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์ บอกว่า การที่คริสเตียนค้นหาของประทานของตนเอง และใช้ความสามารถนั้น จะทำให้คริสตจักรเพิ่มพูน ตัวผู้ใช้เองจะเห็นว่าตนเป็นคนมีประสิทธิภาพ เขาจะอิ่มใจ และมีความสุข ผมเห็นด้วยมาก ๆ เพราะเวลาคนเราทำอะไรตามที่ตนถนัด สิ่งที่เขาทำจะบังเกิดมรรคผล ปากพูดดีกว่ามือ มือเขียนหนังสือได้ดีกว่าปาก เมื่อเกิดผล เราก็ชื่นใจ รู้สึกว่าตนมีคุณค่า ชีวิตก็พัฒนา ดังนั้นคนที่ฝังความสามารถไว้ ไม่ใช้ วันดีคืนดีก็นั่งร้องไห้ โอดครวญว่า “ไฉนตัวเรามันไร้ค่าเช่นนี้” อย่าไปท้อถอย เพราะทำอะไรครั้งแรกได้ไม่ดี ความจริง ไม่มีใครทำอะไรได้ดีตั้งแต่ต้น พอเริ่ม ก็ทำผิดๆ ถูก ๆ กันทั้งนั้น แต่พอทำไปไม่กี่ครั้งเราก็ชำนิชำนาญ ดังนั้นการทำอะไรได้ไม่ดี ไม่ใช่ข้ออ้างให้เราไม่ทำ ผมยังจำได้ ผมแต่งเพลง “ขอให้พระสิริ” เพื่อร้องวันเกิดอาจารย์บอบบี้ ชวนคนในครอบครัวมาร้องกันหมด ผมใช้ดนตรีจากเทป ไม่มีใครเล่นกีตาร์ให้ ในเทปมันเป็นคีย์สูง เราร้องกันเสียงไม่ถึงคีย์ ร้องกันคราวนั้นล่มครึ่งทาง แต่นั้นคือประวัติเพลง “ขอให้พระสิริ”

4. พระเจ้าได้รับเกียรติเมื่อเราใช้ของประทาน
เปโตรกล่าวว่า “ตามที่ทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้น เพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้มอบฉันทะ (เป็นคนต้นเรือน) ที่ดี ที่แจก และสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าผู้ใดจะพูด ก็ให้กล่าวเหมือนกล่าวพระภาษิตของพระเจ้า ถ้าผู้ใดจะให้บริการ ก็จงให้บริการตามกำลังที่พระเจ้าทรงโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รับเกียรติ ทางพระเยซูคริสต์” (1 เปโตร 4:10-11) เปาโลอธิบายว่า เวลาทุก ๆ คนในคริสตจักร รับผิดชอบรับใช้ตามความถนัด มันก็ประสานกัน เข้ามือ เข้าขากัน “ทุก ๆ ข้อต่อ ที่ทรงประทานได้จำเริญขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว” (อฟ 4:16) เหมือนนักฟุตบอลส่งลูกไปมาจากกองกลาง สู่กองหน้า จน ยิงเข้าระตูคู่ต่อสู้ คนชมไชโยโห่หิ้วชื่นชมกันทั้งสนาม


5. เราต้องใช้ของประทานด้วยความรัก
ทุกตอนที่เปาโลกล่าวถึง การใช้ของประทาน ท่านจะกำชับเสมอว่า ผู้ใช้ต้องทำด้วยความรัก ครูต้องสอนด้วยใจรักนักเรียน ผู้เลี้ยงต้องรักลูกแกะ คนต้อนรับแขกต้องทำด้วยความเต็มใจ ไม่บ่น ผู้ปรนนิบัติก็ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่ หน้านิ่วคิ้วขมวด ผู้ประกาศต้องรักและห่วงใยผู้ฟัง ปรารถนาให้คนฟังมาหาพระเจ้า เมื่อเศรษฐีคนหนึ่งมาหาพระเยซู ถามพระองค์ว่า เขาจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ เขาบอกพระองค์ว่าเขาถือรักษาพระบัญญัติมาตั้งแต่เด็ก พระคัมภีร์บันทึกว่า “พระเยซูทรงดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสว่า ท่านยังขาดอีกสิ่งหนึ่ง คือขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่าย ให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีสมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา” (มาระโก 10:21) ก่อนพระเยซูจะเรียกลูกชายของแม่ม่าย ชาวนาอิน ให้ฟื้นขึ้นจากตาย หมอลูกาบันทึกว่า พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาตรัสว่า “อย่าร้องไห้” พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจด้วยพระทัยรัก และสงสารคนเสมอ
เปาโลกล่าวว่า ถ้าเราใช้ของประทานโดยไร้ความรัก พูดได้กี่ภาษาก็ตาม แต่ไม่มีความรัก เราก็คงเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่ส่งเสียง แม้เราจะเผยพระวจนะได้ เป็นผู้รับถ้อยคำมาจากพระเจ้า มีวาทะเปิดโลกอนาคต มีเข้าใจความล้ำลึกทั้งปวง มีความรู้ทั้งสิ้น เป็นปราชญ์ เป็นผู้คงแก่เรียน มีความเชื่อมากพอจะยกภูเขาไปได้ เป็นนักสู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ไม่มีความรัก เราก็ไร้ค่า (1 คร13:1-2)

 


บางครั้งผมอดนึกถึง การไปตรวจไข้กับหมอที่โรงพยาบาล และเคยเห็นหมอตรวจคนไข้ เหมือนหุ่นยนต์ ยังนึกว่า คงเป็นเพราะเป็นบุคลิกของหมอ ท่านเป็นคนปั้นปึ่ง หรือเพราะคนไข้เยอะมาก จึงหัวหมุน หมอจึงหัวเสีย ตรวจคนไข้ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็ไม่เป็นไร แต่มันเป็นบทเรียนสอนผม ก่อนอาจารย์ ที แอล ออสบอร์น จะจากไป ท่านมาเยี่ยมเมืองไทยครั้งสุดท้าย มีการจัดประชุมประกาศรักษาโรคที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กลางวันท่านสอนผู้รับใช้ ผมจำได้ไม่ลืม ท่านพูดว่า เคล็ดลับสำคัญของการอธิษฐานเผื่อผู้ป่วย คือ ผู้อธิษฐานต้องรักคนป่วย มีใจเมตตาเขา เพราะพระเยซูรักคนเหล่านี้อย่างยิ่ง
ขอยกตัวอย่าง การใช้ของประทาน ในการสอน


ผมระลึกเสมอเมื่อสอนพระคัมภีร์ ว่าเราเป็นครูที่รัก นักเรียนในชั้นหรือไม่ เรารักห่วงใยเขาหรือไม่ เราอยากให้เขารู้ เข้าใจ นำไปใช้ให้เกิดผลหรือไม่ ความรักที่ครูมีให้นักเรียน ย่อมปรากฏออกมาทางน้ำเสียง สายตา ท่าทีของครูได้เสมอ
เปาโลขยายความต่อไปว่า ความรักอดทนนาน สำหรับผม แปลว่า นักเรียนเขาจะช้า นับเลขไม่ได้สิบ หัวทึบ แค่ไหน ครูก็ต้องไม่หัวเสีย กระทำคุณให้ คือมีใจกรุณาเสมอ ความรักไม่อิจฉา ถ้าใครได้ดีกว่าเรา หรือเก่งกว่าลูกของเราก็จะยินดีปรีด์เปรม ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ยกตัวเหนือลม หรือ ยกตนข่มท่าน ครูจะต้องตระหนักเสมอว่า เราไม่ได้วิเศษอะไร หรือเก่งกว่าใคร พระเจ้าต่างหากช่วยเรา ไม่หยาบคาย ไม่ใช้วาจาผรุสวาท ปากเปราะเราะราย พูดจามะนาวไม่มีน้ำ ด่านักเรียน ไม่ฉุนเฉียว ผมเคยสอนการบ้านลูกแล้วไม่ได้ดังใจ จนน็อตหลุด ออกไปสงบใจข้างนอกพักใหญ่ สารภาพกับพระเจ้า แล้วผมกลับมาสอนอีก ครูไม่ช่างจดจำความผิดนักเรียน ไม่ใช่มองเห็นหน้าเขาก็มองเห็นอดีตร้าย ๆ ของเขา จำคำพูดผิดๆ ของเขาขึ้นมาหมด รักไม่ชื่นชมเวลาเขาผิด ถ้าเขาทุจริตในการสอบ ครูเศราใจ แต่อย่าเพิ่งท้อ คนไทยเราว่า “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” คือ คนเราแก้ตัวได้เสมอ เสียดายที่เขาพลาด ไม่ใช่ด่าซ้ำ แต่ชื่นชมเวลาประพฤติชอบ พอเขาเริ่มต้นใหม่ สอบได้ ทำคะแนนได้ดี เราชื่นชอบ ชื่นชม มีความหวังอยู่เสมอ ครูต้องไม่หมดหวังกับลูกศิษย์คนไหน ไม่รีบเช็คบิลใคร ไม่อิดหนาระอาใจ ไม่ใช่บอกศาลา แต่ให้โอกาสศิษย์เสมอ
ที่ผมยกตัวอย่างเป็นบทเรียนให้ผมเอง


อย่าลืม เราต้องรักคนอื่น ไม่ว่าเราจะใช้ของประทานอันใดก็ตาม เราหนุนใจเตือนสติ ก็เพราะรัก บริจาคด้วยใจรัก เป็นพยานนำคนมาถึงพระคริสต์เพราะรักเขา วางมือรักษาโรคเพราะรัก บริหารด้วยความรัก อภิบาลศิษย์ด้วยใจรัก ต้อนรับแขก เป็นปฏิคมด้วยความรักความยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และครอบครอง (บริหาร) ด้วยความรัก ขาดความรักแล้วเปาโลก็บอกว่า ที่ทำไป ก็ไร้ราคาโดยสิ้นเชิง


ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์ ว่า มีความรักแต่ไม่มีความสามารถ เหมือนรถยนต์มีล้อแต่ไม่มีลม ครับ! เหมือนรถยางแตก รถยังพอเคลื่อนไปได้บ้าง มีความสามารถแต่ ไม่มีความรัก ก็เหมือนรถยนต์มีลม แต่ไม่มีล้อ อันนี้แย่มาก เพราะรถต้องจอดนิ่งกับที่ วิ่งไม่ได้เลย ขอให้เราเป็นรถที่มีทั้งล้อและลมเต็มนะครับ จึงจะวิ่งฉิว เกิดประโยชน์กับแผ่นดินพระเจ้า และคนทั่วไป
สุขสันต์วันแห่งความรักครับ






















Visitor 252

 อ่านบทความย้อนหลัง