นิมิต หรือ ภาระใจ

ศบ.

 

          “ที่ใด ๆ ไม่มีนิมิต  คนจะพินาศ”  (สุภาษิต 29:18 )       (พระคัมภีร์ฉบับเก่า)

 

         วันนี้ผมขอพูดเรื่อง ภาระใจในการรับใช้พระเจ้า พอดีช่วงนี้กำลังสอน “วิชาเพิ่มพูนคริสตจักร” ศูนย์ฝึกอบรมฯ ที่กรุงเทพฯ วิชานี้เขาพูดถึงผู้นำและสมาชิกเอาไว้มาก ผู้นำ ถือเป็นบุคคลสำคัญต้น ๆ ที่มีส่วนทำให้คริสตจักรโตหรือไม่โต  ผมเป็นผู้นำ  เรื่องนี้ก็สอนตัวเอง และผมก็ฝากบทความนี้แก่ผู้นำทุกระดับในงานรับใช้ ตั้งแต่ศิษยาภิบาลคริสตจักรในพันธกิจ  กรรมการ หัวหน้าเขต หัวหน้าหน่วย หัวหน้าเซลล์  

 

        “ที่ใด ๆ ไม่มีนิมิต  คนจะพินาศ” นิมิต คือสิ่งที่พระเจ้าให้เราแลเห็น ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพ หรือภาพยนตร์ เหมือนฉายหนังให้เราดู  ด้วยตาสองดวงของเรา แต่เป็นอะไรที่เราแลเห็นไปข้างหน้า เห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณ เห็นกระจ่าง หากเราแลอะไรไม่เห็น  เหมือนคนตาบอด เราก็จะเดินไม่ถูก 

 

     รอบ ๆ ตัวเราในประเทศไทย มีคนทุกข์ คนหลงทางให้เราช่วยเต็มไปหมด แต่เรา ซี่งนั่งอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้กลับแลไม่เห็น  

 

     พระเจ้าทรงวางคริสตจักรเราไว้ในประเทศไทย เพื่อจะช่วยคนไทย  พระเยซูทูลอธิษฐานพระบิดาว่า “ข้าพระองค์มิได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก  แต่ขอปกป้องเขาไว้ ให้พ้นจากมารร้าย  เขาไม่ใช่ของโลก …… พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์เข้ามาในโลกฉันใด  ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น” (ยอห์น 17:15-18) 

 

      นิมิต  เป็นอย่างไร

 

      นิมิต เป็นภาระใจ ที่มันมิได้วูบวาบ เหมือนไฟไหม้ฟาง เหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบ ให้แลเห็นอะไรวับ ๆแวม ๆ ไม่กี่วันก็ลืมมันไป แต่มันเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ  กษัตริย์ดาวิด กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ”  (กิจการ 2:25) เป็นภาระใจที่หนักอยู่บนบ่า เป็นความปรารถนาอันแรงกล้า โดยพระวิญญาณ  เร้าใจให้เราทำ  เปาโลทุ่มเทประกาศ  สร้างคริสตจักร  หลังจากท่านบรรยายว่าท่าน  ฝ่าความทุกข์ยากนานา หนักหน่วงเหลือเกิน  ท่านกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนั้น  ยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวัน ๆ คือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง” ไม่มีใครสั่งให้ท่านตามกลับไปเยี่ยม ให้ท่านส่งคนไปเยี่ยม  ไม่มีใครบอกให้ท่านเขียนจดหมาย ฉบับต่อฉบับ  ถึงพวกเขา ไม่มีใครบัญชาท่าน ไม่มีใครสั่งให้ท่านอธิษฐานเผื่อพวกเขา  ภาระใจที่ท่วมท้นตัวท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กระตุ้นตัวของท่าน

 


                                   

 

    นิมิตจำเป็นแค่ไหน 

 

         ในศูนย์ฝึกอบรมผู้รับใช้   เรามีคำขวัญ 4 คำ  “มีนิมิต  สนิทพระวิญญาณ  ยึดมั่นหลักการ  อภิบาลสาวก”  มีนิมิต  เป็นเรื่องแรก  นักศึกษาที่เข้ามาเรียนพระคัมภีร์  หากท่านไม่มีนิมิต  หรือภาระใจจะช่วยใคร  การเรียนพระคัมภีร์ของท่านก็ไร้พลัง  ท่านจะเบื่อหน่าย จะอ่อนกำลังตั้งแต่เป็นนักเรียน จนกระทั่งออกไปทำงาน  ท่านจะทำงานแบบซังกะตาย  เช้าชามเย็นชาม  เหนื่อยหน่าย  อ่อนระโหยโรยแรง แล้วคนรอบตัว  จะไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ  “ที่ใดไม่มีนิมิต  คนจะพินาศ” (จริง ๆ) ผมอาจคิดเรื่องนี้แตกต่างจากที่หลายคนคิด  แต่ผมคิดว่า  หมดสมัยแล้วที่เราจะเรียนเอาวุฒิ การศึกษามาประดับตัว  ถ้าเราช่วยใครไม่ได้ วุฒิมีประโยชน์อะไร  จอห์น แมคเวลล์  เขียนไว้ใน หนังสือ คุณสมบัติ ของผู้นำ 21 ประการที่ขาดไม่ได้  “A  leader with great passion and few skills always outperforms a leader with great skills and no passion.” (หน้า 85)   ผมแปลเป็นไทย น่ะครับ  “ผู้นำที่มีใจเร้าร้อน มีภาระใจอย่างมาก แต่มีความรู้  ความชำนิชำนาญน้อย  ทำอะไร ๆได้มากมายยิ่งกว่า  ผู้นำที่มีความรู้ความชำนาญมากล้น  แต่ไม่มีภาระใจอะไร”  ท่านชี้ให้เห็นว่า  นี่คือเหตุผลว่า  ทำไมผู้นำซึ่งมีใจกระตือรือร้น  จึงมีประสิทธิภาพ  

 

         กษัตริย์ซาโลมอน  กล่าวว่า “สุนัขที่เป็น  ก็ยังดีกว่าสิงห์ที่ตายแล้ว” (ปญจ 9:4) แน่นอน  สิงห์ที่ยังเป็นก็คงดีที่สุด  ลางคนอาจนำข้อนี้ไปเปรียบเทียบระหว่างคนไม่เก่งที่ยังเป็นอยู่ กับ คนเก่งที่อำลาโลกไปแล้ว แต่ผมขอเปรียบระหว่างคนที่มีนิมิต  กับคนที่ไม่มีนิมิต  ระหว่างคนที่มีภาระใจ กับไม่มีภาระใจ  ระหว่างคนที่อยากช่วยคน กับคนทีไม่คิดจะช่วยใคร  สิงโต  มีกำลังมากกว่าสุนัข  เขี้ยวเล็บก็แหลมคมกว่า วิ่งก็เร็วกว่า แผดเสียงร้องสัตว์อื่นก็ขี้ขลาด หัวหดไปหมด ชื่อก็โด่งดังกว่า สัตว์ทั้งหลายก็ยกให้เป็นเจ้าป่า  ส่วนสุนัขนั้น  อ่อนด้อยกว่าทุกด้าน แต่สิงโตตัวนี้มันตาย ไม่ไหวติง แน่นิ่งอยู่กับที่ก็คงเป็นเจ้าป่าที่ช่วยอะไรใครไม่ได้  แล้วมันก็สู้สุนัขล่าเนื้อตัวน้อยไม่ได้   

 

        วันอาทิตย์นี้  เราจะเริ่มเปิดห้องประกาศที่เขาย้อย  เพชรบุรี  เป็นครั้งแรกครับ  ประมาณว่าคนใหม่ที่มาร่วมประชุมไม่น่าจะต่ำกว่า 50 คน  ท่ามกลางคนเหล่านี้ ยังไม่มีใครรับศีลบัพติสมาสักคน  ธันวาคมนี้  คน

 

                                         

 

       เหล่านี้จะรับบัพติสมาครั้งแรก 14 คน  เป็นอันว่าโบสถ์นี้แปลกยิ่ง คือเริ่มต้นไม่มีคริสเตียนเก่าสักคน นอกจากน้อง ๆ ที่ผมจะส่งไปนำ  ไปเทศน์   วันก่อนผมคุยกับ  น้องคนหนึ่ง เขาเป็นคนใหม่  เขาเป็นผู้นำท่ามกลางผู้เชื่อใหม่ เขาหายจากมะเร็ง  เขาพูดกับผมว่า  “อาจารย์  พอเปิดโบสถ์ที่นั่นแล้ว  เราจะออกไปพาคนอีกหลายหมู่บ้าน  ที่หนูรู้จักรอบ ๆ มาหาพระเจ้า หนูจะไปให้ทั่ว” ผมกลับบ้าน  นั่งยิ้มนอนยิ้ม  เขายังมิได้..  แม้แต่รับบัพติสมาในน้ำ  เขาเป็นสุนัข “เป็น” จริง ๆ โทษที  ที่เปรียบอย่างนี้  ผมหมายความว่า เขามีความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ น้อยนิดเหลือเกิน มากพอกับที่ผมสอนเขาอยู่ 4-5 เดือน  แต่ที่เขามีให้ผมเห็นคือ “ชีวิต” หรือ “ใจกระตือรือร้นที่อยากออกไปช่วยคน”  สุนัขที่เป็นอยู่ไงล่ะ  ตรงกันข้ามกับ สิงห์  ที่มีทั้งประสบการณ์  ความรู้พระคัมภีร์  เรียนมาไม่รู้กี่สถาบัน อ่านพระคัมภีร์จบไม่รู้กี่รอบ อายุการเป็นคริสเตียนก็นานปีดีดัก  มีทั้งตำแหน่งและชื่อที่ฟังแล้ว น่าขยาด  เหมือนเจ้าป่า  แต่ไม่เคยคิดนำใคร ไม่เคยแม้แต่ จะพยายาม ประกาศ หรือเป็นพยาน หรือช่วยใคร ตาเขาแลไม่เห็นอะไรสักอย่าง  นิมิตไม่มี  คนรอบตัวเขาจึงพินาศ  นี่ยังไงล่ะที่ซาโลมอนกล่าวว่า  “ที่ใด ๆ ไม่มีนิมิต  คนจะพินาศ”  

 

      ทรงประทานนิมิตให้

 


                          

 

     

       ก่อนที่พระเจ้าจะให้เราทำสิ่งใด  พระเจ้าทรงเปิดตาให้เราเห็นก่อนเสมอ  เมื่อเห็นแล้ว  เราต้องลงมือทำ  กล้าทำตามที่พระองค์ทรงสำแดง  พระเจ้าให้อับราฮาม แลเห็น  “การเป็นบิดามวลชน” ตั้งแต่ก่อนที่ท่านออกจากเมืองฮาราน   ทรงให้ โนฮา  แลเห็น “นาวา”  ตั้งแต่ก่อนสร้าง   โมเสส แลเห็นคนยิวออกจากการเป็นทาสในอียิปต์   พระเจ้าทรงนำโยชูวา ขึ้นไปบนภูเขา  และพระองค์ทรงบัญชาให้มองไปรอบ ๆ “ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดาร ภูเขาเลบานอน  ไกลไปถึงแม่น้ำใหญ่ยูเฟรติส  แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิต

 

     ไทต์   ถึงทะเลใหญ่กลางทิศตะวันตก” ทรงตรัสว่า ทั้งหมดนี้ “จะเป็นอาณาเขตของเจ้า” พระเจ้าทรงให้ เนหมีย์  แลเห็น  “กำแพงเมืองเยรูซาเล็ม”ทรงให้เปโตร  แลเห็น “การขยายคริสตจักร ตั้งเยรูซาเล็มไกลออกไป” ให้เปาโล แลเห็น “คริสตจักรของคนต่างชาติ” 

 

       รับนิมิต และลงมือทำ 

 

      นิมิต  น่าตื่นเต้น  แต่ละคนที่ผมเอ่ยมา  ต่างตื่นเต้นกับภาพที่พระเจ้าทรงสำแดงทั้งสิ้น และพวกเขามีภาระใจ  ทุ่มเท  ลงมือทำด้วยความเชื่อสุดชีวิต ฝ่าความทุกข์ยากและอุปสรรคมากมาย  งานจึงสำเร็จ 

 

                              

 

        โยเอล กล่าวถึงยุคสุดท้ายว่า “เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเรา โปรดปรานแก่มนุษย์ทั้งปวง  บุตราบุตรีของท่านทั้งหลาย จะกล่าวคำพยากรณ์  คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น”  (กิจการ 2:17)  นี่คือพระสัญญาสำหรับคนในยุคของเรา  หากเราไม่เห็น เราต้องทูลขอพระวิญญาณ ทูลขอให้เราเห็นนิมิต แล้วพระองค์ จะทรงประทานให้จริง ๆ   ครั้นเราเห็นแล้ว เราจะลงมือทำตามนิมิตหรือไม่  ฝันที่ไม่ได้ทำอะไร  คือการฝันเฟื่อง  เพ้อฝัน  เป็นเมฆที่ไร้ฝน แผ่นดินก็แล้งน้ำเหมือนเดิม  

 

         เปาโลทุ่มเททั้งชีวิต  ทำนิมิตที่พระเยซูทรงสำแดงแก่ท่านตลอดมาหลายปี  เดินทางไปเป็นมิชชั่นนารี   3  รอบ  เมื่อตอนที่ท่านมาแก้คดีต่อพระพักตร์กษัตริย์ อากริปปา   ท่านกล่าวว่า “ข้าพระบาทจึงเชื่อฟัง นิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน  ข้าพระบาทได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัส และในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นจูเดีย และแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจใหม่ หันมาหาพระเจ้า  และกระทำสิ่งที่สมกับที่ได้กลับใจใหม่แล้ว”  (กิจการ 26:19-20)  

 

         ยอดเยี่ยมไหมล่ะครับ

 



Visitor 231

 อ่านบทความย้อนหลัง