ผู้ป่วยไม่ทราบว่า พระเยซูเป็นใคร


ศบ.

 

ยอห์น 5:13 “คน​ที่​ได้รับ​การ​รักษา​ให้​หาย​โรค​นั้น​ไม่​รู้​ว่าพระเยซู​เป็น​ผู้ใด”


ที่เยรูซาเล็ม มีสระน้ำแห่งหนึ่ง ชื่อ เบธซาธา เป็นสระน้ำที่มีศาลา 5 หลังริมสระ คนเจ็บคนป่วยถูกหามกันมาอยู่ที่ศาลานี้ เต็มไปหมด ทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต บางคนก็มีญาติมาอยู่ด้วย บางคนก็ไม่มี พวกเขามาอยู่กันที่นี่ทำไม พวกเขามาเฝ้ารอน้ำในสระกระเพื่อม คงเป็นฟองปุด ๆ ขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า ลงมากวนน้ำในสระ ทำให้น้ำกระเพื่อมดังว่า ถ้าใครลงไปในน้ำช่วงนั้นก่อน เขาก็จะหายโรค ( ยน 5:4)
พระเจ้าทรงมีพระเมตตา


คู่มือพระคัมภีร์บางฉบับ อธิบายว่า สระน้ำแห่งนี้มีน้ำแร่ที่พลุ่งขึ้นมาเป็นครั้งคราว มีสาร อาจเป็นกำมะถัน ที่ช่วยบำบัดรักษาโรค จะเข้มข้นมากในช่วงที่พลุ่งขึ้น แล้วค่อย ๆเจือจางไป คนป่วยที่ลงไปในช่วงแรก ๆ จึงได้รับแร่ที่บำบัดโรค ถ้าพลาดก็ต้องรอช่วงหน้า ทุกคนรู้ว่านี่คือพระเมตตาจากพระเจ้า “เบธซาธา” จึงแปลว่า “บ้านเมตตา” ผมเป็นเภสัชกร ได้เรียนรู้เรื่องยามาบ้าง ผมเห็นว่า ยารักษาโรค ทั้งยาฝรั่ง ยาสมุนไพร ล้วนเป็น พระเมตตาของพระเจ้าที่มีมาถึงมวลมนุษย์ทั้งสิ้น สมัยนั้น มีวิชาหนึ่งที่นักเรียนเภสัช รู้จักดีคือวิชา เภสัชเวท (อังกฤษ: Pharmacognosy) เป็นศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับยาอันมีที่มาจากแหล่งธรรมชาติ เราเรียนเรื่องสมุนไพรทั้งหลาย โดยเฉพาะในบ้านเรา ที่มีสารรักษาโรค จาก ราก จากใบ จากดอก จากผล จากแก่น จนกระทั่งจากนำมันสกัด เช่น ว่านหางจระเข้ ที่คนไทยเรียกว่ายาดำ มีสาร อะลอกติน เป็นวุ้นที่ช่วยสมานแผล คนที่ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก สารนี้ชโลมเส้นผม ทำให้ผมมีเงางามด้วย แชมพูหลายยี่ห้อถึงได้ใส่ว่านหางจรเข้เข้าไปด้วย ขิง ข่า กระวาน มีสารที่ช่วยขับลม เวลาท้องอืด คาลาไมน์ (อังกฤษ: Calamine) เป็นสารผสม ซิงก์ออกไซด์ กับ เฟอร์ริกออกไซด์ สีชมพูเรื่อ ๆ ทาผิวหนัง ผื่นแดง เป็นยาฝาดสมาน ช่วยให้หายอาการคัน ได้ชงัดเชียว แต่ก่อนเรายังไม่มี พาราเซตามอน ยาแก้ไข้ เขาใช้ควินิน ที่ได้จากเปลือกไม้ ซิงโกนา ลดไข้มานานหลายปี เวลาเราถอนฟัน หรือผ่าตัด ถ้าไม่มี ลิโดเคน ที่ดัดแปลงจาก โคเคน ยางไม้จากต้นโคคา ป่านนี้ การถอนฟันของเราคงเจ็บ เหมือนคนลงนรกทีเดียว พูดไปก็ยาว คิดแล้วก็ต้องขอบพระคุณ พระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่มนุษยชาติ เรียกสระน้ำแห่งนี้ว่า บ้านเมตตา นั้นถูกแล้ว



ทรงมีพระเมตตาแก่ผู้เชื่อเป็นพิเศษ
เมื่อพระเยซูมายังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จไปที่นั่น ทรงเห็นคนง่อยคนหนึ่ง ป่วยมานาน 38 ปีแล้ว พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ” คนง่อยนั้นจึงทูลพระองค์ว่า “เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาข้าพระองค์ลงไปในสระ และคนอื่นก็ลงไปก่อน” ครับ ผมคิดว่า เขาพลาดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนหมดหวัง ตอนแรก ๆ ญาติคงมาอยู่ด้วย นานวันเข้าญาติบ้าง เพื่อฝูงบ้างก็ค่อย ๆ หายหน้าไป 38 ปีนี่ คงไม่เหลือใครมาช่วย หมดหวังโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ความว้าเหว่ และการทอดอาลัย แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระคัมภีร์ไม่ได้เขียน แต่ผมเดาว่า คนง่อยคนนี้คงทราบข่าวมาบ้างว่า พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ รักษาโรคได้มากกว่า ยา ในวิชาเภสัช หรือวิชาแพทย์ ทุกวันนี้ เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ ผู้คนต้องการการบำบัดรักษา มากมายเต็มไปหมด ผมเพิ่งเดินทางมาจากแม่ฮ่องสอน หลังจากนำผู้หญิงคนหนึ่งที่ห้วยน้ำดัง ต้อนรับพระเยซู สิ่งที่เธอต้องการให้เราอธิษฐานเผื่อ คือ ขอพระเจ้ารักษาคุณพ่อของเธอซึ่งเป็นมะเร็ง เราก็ร่วมกันวางมือบนเธอ และเผื่อคุณพ่อของเธอ เราทำตามพระดำรัสของพระเยซู และพระเจ้าจะทรงรักษาเขาให้หาย ที่บางกะไชย จันทบุรีวันนี้ พระเจ้ากำลังบำบัดรักษาผู้ป่วยที่นั่นมากมายผ่าน น้องชินวัตร และที่ต่าง ๆ ที่เราออกไปพระเจ้าก็บำบัดรักษาโรคเขา

 




วันนั้น พระเยซูตรัสสั่งให้คนง่อยคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด” ทันใดนั้นเขาก็หายง่อย ยกแค่เดินไป การรักษาโรคของพระเยซูไม่ขัดกับวิชาเภสัช การบำบัดโดยยา เป็นพระเมตตาที่พระเจ้าประทานให้แก่คนทั้งหลาย แต่การหายโรคโดยพระนามของพระเยซู เป็นพระเมตตาแก่คนที่เชื่อ ฮีบรู 11:6 กล่าวว่า “แต่​ถ้า​ไม่​มี​ความ​เชื่อ​แล้ว จะ​เป็น​ที่​พอ​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า​ก็​ไม่ได้​เลย เพราะ​ว่า​ผู้​ที่​จะ​มา​เฝ้า​พระ​เจ้า​ได้​นั้น ต้อง​เชื่อ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ดำรง​พระ​ชนม์​อยู่ และ​พระ​องค์​ทรง​เป็น​ผู้​ประทาน​บำเหน็จ​ให้แก่​ทุก​คน​ที่​แสวงหา​พระ​องค์” พระเยซูทรงบัญชาให้เราออกไปประกาศพระกิตติคุณ “เจ้าทั้งหลายจงออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติสมาแล้วผู้นั้นจะรอด ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญจะบังเกิดขึ้นที่นั่น ..เขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” (มาระโก 16:15-18)
เราสมควรดีใจที่ คนเข้ามาหาพระเจ้า
เมื่อเขาหายโรคเขาก็สัมผัสอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ เขาตื่นเต้น ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริง คนง่อยที่ยกแคร่กลับบ้านวันนั้นก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน พวกยิวซักถามคนง่อยที่หายโรคนั้นว่า ทำไมแบกแคร่วันสะบาโต เพราะเป็นของต้องห้าม เขาก็บอกว่า มีผู้สั่งเขาให้ยกแคร่เดินกลับบ้าน เขาก็ทำ เขาก็หายง่อย ครับ หายจากอาการง่อยที่นั่งๆ นอน ๆ อยู่กับที่มานาน 38 ปี มันไม่ธรรมดาหรอกครับ แต่แปลกที่ยิวเหล่านั้นไม่ดีใจอะไร ข้องใจอยู่แต่เรื่องการปฏิบัติที่ผิดกติกาของตน จึงถามคนง่อยว่า “ใครสั่งเจ้าให้แบกแค่วันนี้” เขาไม่เอาเรื่องคนง่อยอย่างเดียว พวกเขาจะเล่นงานพระเยซูด้วย เขาจะหาช่องจะฆ่าพระองค์เสีย (ยน 5:18) แท้จริง เขาน่าจะดีใจที่ผู้ป่วยหายโรค และสรรเสริญพระเยซู


ผู้หายโรคไม่รู้จักพระเยซู
คนง่อยคนนั้นตอบไม่ได้ “คนที่ได้รับการรักษาให้หายโรคนั้น ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะพระเยซูเสด็จหลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้น มีคนอยู่ที่นั่นเป็นอันมาก” (ยอห์น 5:13) ความจริง คนง่อยคนนี้ ได้รู้จักพระเยซูระดับหนึ่งแล้ว เขาเข้าใจว่าพระองค์มีฤทธิ์รักษาโรค พระองค์มิได้เป็นบุคคลธรรมดา เพราะคนธรรมดาช่วยเขาไม่ได้ แต่พระองค์ช่วยเขาได้จริง พระองค์คือผู้รักษาโรค เมื่อเขาเชื่อเขาหายโรค เขารู้แค่นี้ วันนี้พระเจ้ากำลังทำการยิ่งใหญ่ของพระองค์ มีคนไม่น้อยที่พระเจ้าทรงรักษาเขาให้หาย จาก ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย เป็นมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต


ข้อสังเกตของผม
ผมสังเกตว่าพระเจ้าเมตตาพวกเขา อย่างเมตตาคนง่อยที่สระเบธซาธา พระองค์มิได้เริ่มกับพวกเขาโดยให้เขามาศึกษาหาความรู้เรื่องพระเจ้า ฟังคำสอน ให้จบหลักสูตร เอ บี ซี ดี ก่อน พวกเขาจึงมีสิทธิสัมผัสพระเจ้า พระองค์มิได้เริ่มกับพวกเขาโดยการให้เขาเข้ามาคลุกคลีตีโมงกับผู้เชื่อ จนได้สัมผัสความรัก ความอบอุ่นของสังคมคริสเตียนก่อน จึงเปิดประตูให้เขามีประสบการณ์กับพระเจ้า หรือมิได้ให้พวกเขาอ่านพระคัมภีร์มาระโกให้จบสักหนึ่งเที่ยว เสียก่อน จึงจะทำการอัศจรรย์ แต่ทรงกระทำการอัศจรรย์โดยการบำบัดรักษาเขาให้หาย ตั้งแต่เขาเชื่อว่า ถ้าเขามอบตัวเชื่อพระองค์ เขาจะได้สิทธิเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์จะทรงรักษาโรคลูกพระองค์ให้หาย ส่วนพระองค์เป็นใครมากกว่านี้ เขาต้องปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป เขาไม่ทราบ มันช่างเป็นพระเมตตากรุณาอันใหญ่หลวงของพระเจ้าแท้ ๆ นี่คือข้อสังเกตของผม

 


พระเยซูไม่ทรงปล่อยให้เขาไม่รู้
ยอห์นบันทึกต่อมาว่า “ภายหลังพระเยซูได้พบคนนั้นในบริเวณพระวิหาร และตรัสกับเขาว่า “นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” คงไม่ใช่การบังเอิญ แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เพื่อช่วยเขา สเปอร์เจียน กล่าวว่า “พระเยซูไม่เพียงช่วยให้คนง่อยหายง่อย(infirmity) เท่านั้น แต่ทรงช่วงให้คนง่อยหายโง่ (Ignorance) ด้วย” เขาต้องรู้ว่า พระองค์เป็นใคร เขาต้องละทิ้งอดีตอย่างไร และเขาจะดำเนินชีวิตใหม่จากวันนี้ต่อไปแบบไหน พระเยซูทรงสอนเขา เป็นภารกิจของเราในการสอนคนใหม่ ให้รู้จักพระเยซูมากกว่า รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ แท้จริง พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดูแลเรา เป็นพระผู้ไถ่ผู้ชำระโทษผิดของเรา เป็นพระศิลาเป็นที่ลี้ภัยเมื่อศัตรูโจมตีเรา เป็นพระบิดานิรันดร์ผู้ให้ความรักความอบอุ่นแก่เรา เป็นผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ในยามที่เรามืดแปดด้าน เป็นความจริงที่เป็นไอดอลของเรา เป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในยามพบปัญหาเกินแก้ ให้เรารู้จักพระองค์เป็นส่วนตัว ที่คืองานที่เราต้องสั่งสอนเขา ทั้งบนธรรมาสน์ ในชั้นเรียน ในกลุ่มเซลล์ คริสตจักรต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เขาต้องโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่หายไป เราต้องตักเตือนเขาว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ “อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า”


สอนจนเขาเป็นพยานได้
“ชายคนนั้นออกไปบอกพวกยิวว่า ชายที่รักษาเขาให้หายนั้นคือ พระเยซู” (ยอห์น 5:15) นำเขาให้รู้จักพระเยซู มีสัมพันธภาพกับพระองค์ จนเขาสามารถเป็นพยานได้ว่า พระองค์คือใคร เป็นข้อสรุปจากประสบการณ์ของเขาเอง เมื่อไปเยี่ยมพี่น้องที่คริสตจักรเพชรบุรี ผมได้ยินคุณบุนนาค เล่าประสบการณ์ของเขากับพระเยซู ไม่ใช่เรื่องหายโรค แต่เป็นการสัมผัสพระองค์ส่วนตัว ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ เขารู้จักพระเยซูมากกว่าการบำบัดโรคแล้ว บัดนี้ คนง่อยคนนี้รู้จักพระเยซูแล้ว เขาไม่ได้เก็บไว้ในใจ แบบไม่มีใครถามก็ไม่พูด แต่ “เขาออกไปบอกพวกยิว” เมื่ออันดรูว์พบพระเยซู เขาวิ่งไปบอกซีโมนพี่ชายของเขา เมื่อหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ กลับใจบังเกิดใหม่ เธอวิ่งไปบอกคนทั้งหมู่บ้าน ผู้รู้จักพระเยซูแท้จริง จะไม่ปิดปากเงียบงัน หรือรอให้ผ่านการอบรมเสียก่อน คนง่อยคนนี้ “เขาออกไปบอก” ทันทีที่เขารู้จักพระเยซูครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพร










 





 



Visitor 200

 อ่านบทความย้อนหลัง