ใครนำใคร


ศบ.


สดุดี 120:5 “วิบัติของข้าพเจ้า ที่อาศัยกับชนเมเชค ที่พักอยู่ท่ามกลางเต็นท์ของคนเคดาร์ ข้าพเจ้าพักอยู่ท่ามกลางผู้เกลียดศานติ นานจนเกินไปแล้ว” ข้าพเจ้าพูดศานติ แต่เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็หนุนสงคราม”
เราที่เป็นผู้เชื่อ พระเยซูมิได้สอนให้เราออกจากสังคมโลก พระองค์ทูลพระบิดาว่า “ข้าพระองค์มิได้ขอพระองค์ให้เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาให้พ้นจากมารร้าย เขามิใช่ของโลก ดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก” (ยอห์น 17:15-16) พระเยซูทรงเป็นแบบ ทรงอยู่กินกับคนเก็บภาษี ทรงสนทนากับหญิงโสเภณี ที่พวกธรรมาจารย์รังเกียจ และโจมตีพระองค์ว่า “เหตุไฉน อาจารย์ของท่านจึงรับประทานด้วยกันกับคนเก็บภาษี และคนนอกรีตเล่า” (มาระโก 2:16) คนยิวดูถูกเหยียดหยาม และเห็นว่าคนเล่านี้เป็นคนบาป ที่คบค้าสมาคมด้วยไม่ได้ เรารู้ดีว่า พระองค์เป็นเพื่อนกับเขา เพราะรักเขา ทรงมีพระทัยปรารถนาช่วยเขาให้กลับใจใหม่มาหาพระเจ้า จึงตรัสตอบพวกเขาว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เรามิได้มาเพื่อเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านเห็นว่านอกรีต” (มาระโก 2:17) ชัดเจนครับ เหตุที่พระองค์คลุกคลีตีโมง รับประทานอาหาร สังสรรค์ เป็นเพื่อนกับคนเหล่านี้ เหมือน หมอเห็นคนป่วย จึงเข้าไปช่วยรักษาเขา ไม่ใช่ไปทำบาปกับเขา การช่วยคนเมา คนติดเหล้า ไม่ใช่เราต้องดื่มเหล้าด้วย หมอไปรักษาไข้ ไม่ใช่ตนเองต้องเป็นคนป่วยไปเสียเอง “ว่าแต่เขา อีเหนาเป็นเสียเอง” แล้วจะไปช่วยใคร การช่วยคนตกบ่อ เรากระโดดลงไปติดหล่มอยู่ในบ่อ เอาตัวเองขึ้นมาไม่ได้ แล้วยจะช่วยใครได้ การช่วยคนออกจากวงไพ่ เราเข้าไปเป็นคนเล่นด้วย ก็จบเห่กันแค่นั้น และพระองค์ก็ไม่ได้ทำตัวอย่างพวกธรรมาจารย์ คือรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา พระเจ้ารักคนบาป แต่ทรงเกลียดชังความบาป ถ้าลูกเราติดเหล้ายาปลาปิ้ง เรารักลูก เราคงไม่ทิ้งไปทั้งเหล้าทั้งลูก แต่หาทางเอาเหล้าออกจากลูกใช่ไหม พระเยซูก็เช่นเดียวกัน


พระองค์ไม่เพียงกระทำเป็นแบบ แต่ทรงสอนสาวกให้ทำตามด้วย “ข้าพระองค์มิได้ขอพระองค์ให้เอาเขาออกไปจากโลก” คริสตจักรทุกวันนี้ ต้องช่วยคนในสังคม เป็นเพื่อนกับเขาอย่างพระเยซู การแยกตัวไม่สุงสิงกับเขา ช่วยเขาไม่ได้ พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก” แปลว่า เวลาเราอยู่กับเขา เหมือนการเอาปลามาหมักเกลือ เกลือจะช่วยรักษาปลาให้สดอยู่ ไม่บูดเน่า ถ้าปลาอยู่ในเข่ง เกลืออยู่ในขวด เกลือก็ไร้ประโยชน์
เราต้องตระหนักว่า เราไม่ใช่ผู้เดินตามกระแสโลก


ในคำอธิษฐานของพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “แต่ขอปกป้องเขาให้พ้นจากมารร้าย เขามิใช่ของโลก ดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก” พระองค์ให้เราทราบว่า ขณะที่เราอยู่ในสังคมโลก เช่น เขาเล่นไพ่ เขาซื้อหวย กินเหล้าเมายา เขาล่วงประเวณี เขาคดโกง เขาไหว้รูปเคารพ พระเจ้าให้เราเข้าไปเป็นมิตรกับเขา ทั้ง ๆที่เขาทำสิ่งเหล่านั้นตามระบบของโลก ตามกระแสโลก ดูแล้วหมิ่นเหม่กับการที่เราเข้าไปร่วมกระทำความผิดด้วย แต่มันมีเส้นกั้นอันยิ่งใหญ่ คือ เรามิได้เป็นของโลก ไม่ได้เดินตามกระแสโลก แต่เราเดินสวนทางกับเขาเสียด้วยซ้ำ


ตอนเรียนมหาวิทยาลัย คณะที่ผมเรียนมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันไม่มากนัก เรามีกันแค่ประมาณ 30-40 คน เมื่อมีการไปกินอาหารด้วยกัน เพื่อน ๆ เขาก็เสิร์ฟเหล้า ดื่มกัน ผมทานน้ำส้ม และอาหารอื่น ๆ ว่ากันตามจริง ตอนนั้น ผมก็สังเกตว่า มีเพื่อนบางคนก็ไม่ชอบเหล้าด้วย ไม่ใช่เฉพาะผม เพื่อนคนหนึ่งเห็นผมไม่ดื่มเหล้า คงไม่สบายใจ เข้ามานั่งใกล้ๆผม และบอกผมว่า ปกติเขาก็ไม่ดื่มเหล้าน่ะ ผมบอกเขาว่า ผมไม่ได้ว่าอะไรเขา เพื่อนทุกคนรู้ว่าผมเป็นคริสเตียน และรู้ว่าผมคือเพื่อนคนหนึ่งของเขา ผมทำ lab ในห้องปฏิบัติการกับเขา เล่นกีฬา เล่นหมากรุก ตีปิงปอง เตะตะกร้อกับเพื่อน ๆ ตอนติวกันเพื่อสอบ ก็มาอดหลับอดนอนดูตำราด้วยกัน แค่ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่เห็นว่าผมจะกลายเป็นแกะดำไปตรงไหน ความรักและจริงใจที่มีให้เขาสำคัญกว่าเป็นไหน ๆ ที่สำคัญคือผมมีจุดยืน ที่จะทำตามพระเยซู และเป็นเกลือให้เขารู้ว่า เหล้าไม่ได้ดีอะไรกับเขา
มารก็ฉวยโอกาส


พระเยซูตรัสว่า “ขอปกป้องเขาให้พ้นจากมารร้าย” พระองค์ทราบดีว่า มารพยายามล่อลวงผู้เชื่อให้หลง และวิธีของมารก็เริ่มด้วยการสร้าง บรรยากาศของความกลัว ความเกรงอกเกรงใจ ตอนจบคณะเภสัช ผมไปสมัครงานบริษัทหนึ่ง ผู้สัมภาษณ์ผมเป็นรุ่นพี่ เขาบอกผมวันสัมภาษณ์เลยว่า เขาไม่รับผม เพราะผมไม่ดื่มเหล้า เขาว่า บริษัทเขา ผู้แทนขายยาต้องพาหมอไป entertain ต้องดื่มเหล้าเป็น ผมไม่ทราบว่าเขารู้จักผมได้อย่างไร เก่งจัง คงมีกิตติศัพท์ ไปตั้งแต่ตอนเรียน ผมไปสมัครบริษัทที่สอง คือ บ.เลอเปอตี้ต์ ประเทศไทย (บางนา) เป็นบริษัทใหญ่ไม่แพ้บริษัทแรก ผมก็พาซื่อ ตอนสัมภาษณ์ ไปบอกเขาเลยว่า ผมไม่ดื่มเหล้า บอกเขาทั้ง ๆ เขาไม่ได้ถาม เพราะคิดว่าบริษัทคงอยากได้ผู้แทนกินเหล้า Supervisor ตอบผมว่า “อุ๊ย! พี่ชอบ พี่เกลียดคนดื่มเหล้า” แล้วเขาก็รับผมทันที มารมักล่อลวง สร้างภาพให้เราเห็นว่า เราต้องทำผิดแล้วจะได้ดี หากเราอธิษฐาน และยืนหยัดทำตามพระองค์ เราที่อยู่ในสังคมจะพ้นภัยจากมารร้ายได้
เราจะนำเขา หรือเขานำเรา


การที่พระเจ้าให้เรา อยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อนั้น พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้เรานำเขามารู้จักความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ลอยช้อนตามเปียก ไม่ใช่ ตัวเรากลับหลงไหลไปตามกระแส ปกติ มิได้ยากนักที่เราจะอ่านออกว่า เรานำเขา หรือ เขานำเรา โลท เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ โลทเลือกพักอาศัยอยู่ใกล้เมืองโสโดม โกโมรา ครั้งแรก โลทและครอบครัวพักอยู่นอกเมือง โลทก็ทำการค้ากับคนในเมือง แล้วโลกก็ ผูกพันกับสาวชาวโสโดม ไม่ช้าไม่นานนัก โลทก็ย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในเมืองโสโดม วันที่พระเจ้าจะทำลายเมืองโสโดม ทรงให้ทูตสวรรค์มาพาโลทออกมาจากเมืองนั้น ลูกเขยโลทก็ไม่เชื่อโลท คิดว่าโลทพูดเล่น เพราะโลทเคยเล่น ๆ กับพวกเขาเป็นประจำ โลทไม่มีอิทธิพลกับใครสักคน โลท ภรรยาและลูกสาวสองคน ออกมาแบบ แทบเอาตัวไม่รอด ภรรยาโลทกลายเป็นเสาเกลือ เพราะขัดขืนคำสั่งทูตสวรรค์ ว่าอย่าหันกลับไปดูเมือง เมื่อไฟของพระเจ้าลงมาเผาผลาญ แต่ภรรยาโลทอาลัยทรัพย์สินของตนในเมืองโสโดม นอกจาก ชีวิตโลทไม่ได้ช่วยชาวเมืองโสโดม มิได้เป็นแบบอย่าง มิได้เป็นพยาน หรือนำใครมาหาพระเจ้าแล้ว ตัวโลทเองกลับติดกับดัก บ่วงแร้วของมาร และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าไม่มีพระประสงค์สำหรับเรา คนไทยเราว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บันฑิตพาไปหาผล”


ผู้เขียนสดุดี กล่าวว่า “วิบัติของข้าพเจ้า ที่อาศัยกับชนเมเชค ที่พักอยู่ท่ามกลางเต็นท์ของคนเคดาร์” (สดุดี 120:5) ชาวเมเชค เป็นลูกหลานของ ยาเฟท (ปฐมกาล 10:2; เอเสเคียล 38:2;39:1) คนเคดาร์ เป็นลูกหลานของอิชมาเอล (ปฐมกาล 25:13 ;ยรม 49:28-29) ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบสันติ แต่ชอบการรบราฆ่าฟัน เราเสนอเรื่องรัก เขาเสนอเรื่องร้าย เราพูดเรื่องเชื่อ เขาพูดเรื่องชัง


คนเรานั่งฟังอะไรนาน ๆ เรื่องเหล่านั้นก็จะเข้ามามีอิทธิพลกับเรา มีอิทธิพลกับความคิดเรา วันนี้โลกโซเชียล มีเดีย กำลังมีอิทธิพลกับคนรุ่นใหม่ เพราะหลายคนนั่ง นอน ยืน เดิน เปิดมือถือ เฟสบุ๊ค ยูทูป ทั้งวันทั้งคืน แทนที่เราจะฟังพระคำ ฟังเพลงสรรเสริญ เรากลับฟังคำผรุสวาท แทนที่เราจะชมสิ่งสร้างสรรค์ เรานั่งชม สิ่งสยดสยอง แทนที่เราพินิจเรื่องจริงจัง เราครุ่นคิดเรื่องโจษจัน แทนที่เราฟังแล้วกล้า เรากลับฟังแล้วกลัว แทนที่เราจะมีอารมณ์ดี เรากลับมีอารมณ์เดือด


ผู้เขียนสดุดีบอกว่า “ข้าพเจ้าพักอยู่ท่ามกลางผู้เกลียดศานติ นานจนเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าพูดศานติ แต่เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็หนุนสงคราม” เราอยู่ที่นั่น นานเกินไปแล้ว นานเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรานำเขาน่ะ เขากำลังนำเรา แทนที่เราจะนำเขาขึ้นภูเขา เขากลับนำเราเข้ารกเข้าพง ลงเหวลงห้วย


วันนี้ โลกต้องการผู้นำ ผู้นำที่มีศีลธรรม มีความเชื่อ มีพระเจ้า เราต้องเป็นความสว่างให้แก่ความมืด เป็นเกลือให้แก่สังคม และวิธีที่ดีที่สุดคือ เราเดินตามพระเยซู แล้วผู้คนจำนวนมากจะติดตามมาด้วย
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ



Visitor 71

 อ่านบทความย้อนหลัง