ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน

 


แปลคำเทศน์ของ ชาร์ล จี ฟินนี่


วันอาทิตย์นี้เป็นวันเพนเตคศเต เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเจิมสาวก 120 คน ที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นวันเริ่มต้นคริสตจักรครั้งแรกในโลก เราเช่นเดียวกัน ต้องการฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมขอนำบทความของ ชาร์ล จี ฟินนี นักเทศน์ประกาศ และฟื้นฟู ที่นำคนมาเชื่อพระเจ้าในยุคของท่าน ประมาณ ครึ่งล้านคน ในยุคที่ไม่มีรถยนต์ ไม่มีทีวี ไม่มีเครื่องขยายเสียง ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีอินเทอร์เนต ท่านเองต้องขี้ม้าไปประกาศ เทศนาตามที่ต่าง ๆ แต่พระเจ้าใช้ท่าน นำคนมาเชื่อพระเจ้ามากที่สุดคนหนึ่ง


“ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน”
ผมขออนุญาต แก้ข้อข้องใจ ของคณะกรรมการชุดสุดท้าย ที่โอเบอร์ลิน ในหัวข้อซึ่งผมได้กล่าวเมื่อวันเสาร์ตอนเช้า และได้พูดอีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ ประการแรก ผมขอให้ทุกคน สนใจพระมหาบัญชาที่ทรงประทานให้แก่คริสตจักร คือให้ออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวก มัทธิวและหมอลูกาบันทึกว่า นี่คือคำบัญชาที่พระคริสต์ทรงมอบให้แก่คริสตจักรทั้งหมด คริสเตียนทุกคน ต้องรับผิดชอบใช้ชีวิตนำคนในโลกมากลับใจใหม่ ซึ่งข้อนี้ผมได้ตั้งคำถาม 2 ประการ คือ (1) เราต้องมีอะไรบ้าง ที่ทำให้งานยิ่งใหญ่นี้สำเร็จ? (2) เราจะได้สิ่งนั้น มาอย่างไร ?
คำตอบ คือ


1. เราต้องรับฤทธิ์เดชจากเบื้องบน ก่อนหน้านี้พระเยซู ได้บอกพวกสาวก ว่า “ถ้าปราศจากพระองค์แล้ว พวกเขาจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” เมื่อพระองค์ทรงบัญชาให้สาวกนำคนมากลับใจใหม่ พระองค์ทรงผนวกคำสั่งนี้เข้าไปด้วย “แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง กว่าท่านจะได้ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” (ลูกา 24:49) “ไม่ช้าไม่นาน ท่านจะรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ1:5) “ดูเถิด เราจะส่งซึ่งพระบิดาของเราทรงสัญญานั้นมาเหนือท่านทั้งหลาย” (ลูกา 24:49) พระคริสต์ ทรงกำชับให้เราทราบ เงื่อนไข ที่ขาดไม่ได้ เพื่อทำพระราชกิจที่ทรงมอบหมายเบื้องหน้าเรา

 


2. เราจะรับได้อย่างไร? พระคริสต์ทรงมอบพระสัญญานี้แก่คริสตจักรทั้งหมด และคริสเตียนแต่ละคน ที่ออกไปนำคนในโลกให้กลับใจใหม่ พระองค์ทรงสั่งสาวกชุดแรก ว่าอย่าเพิ่งออกไปรับใช้ จนกว่าพวกเขาจะรับราชทานฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบนเสียก่อน พระสัญญาและคำกำชับนี้ สำหรับ คริสเตียนทั้งหลายทุกยุคสมัย ทุกชาติครับ ไม่มีใคร ยุคไหน อาจประสบความสำเร็จ ถ้าพวกเขาไม่ได้รับฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบนเสียก่อน สาวกชุดแรกสอนให้เราทราบว่าเราจะได้รับฤทธิ์เดชเช่นนี้ได้อย่างไร
ประการแรก พวกเขามอบตัวให้กับงานนี้ อธิษฐาน อ้อนวอนไม่หยุด จนพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาบนพวกเขาในวันเพนเตคศเต และพวกเขาได้รับ การสวมทับด้วยฤทธิ์เดชตามพระสัญญา นี่คือวิธีที่พวกเขาได้รับ
คณะกรรมการขอให้ผมพูดเรื่องนี้ ชัดขึ้น โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมจึงแจงเพิ่มเติม พระคริสต์ตรัสว่า พระบิดาทรงเต็มพระทัย ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ แก่ผู้ที่ทูลขอ ยิ่งกว่า ลูกขอของดีจากพ่อของตน
ผมพูด พระคัมภีร์บอกให้เราทราบว่า การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือรับฤทธิ์เดชจากเบื้องบนจากพระบิดานั้นง่ายครับ
จึงทำให้เราเรียนเรื่องการอธิษฐาน แต่ละคนทูลขอพระวิญญาณ ไม่หยุด แต่เหตุใดจึงมีน้อยคนได้รับการสวมทับด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน ทำไมเขาจึงไม่ได้รับคำตอบ หลายคนปรารภว่าคริสตจักรขาดฤทธิ์เดช ทำให้เราเห็นว่ามี “ช่องว่างมหึมา” ระหว่างการทูลขอ และการได้รับ ทำให้หลายคนสดุด ผมจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร ผมจึงขอพูดต่อไปว่า ทำไม การคริสเตียนจึงไม่ได้รับ การสวมทับนี้ ดังนี้
1.เราไม่เต็มใจ หรือไม่ปรารถนาได้รับ สิ่งที่เราทูลขออย่างจัง
2.พระเจ้าบอกเราว่า ถ้าเราบ่มบาปชั่วไว้ในใจเรา พระองค์จะไม่ฟังเรา
3.เราขาดความรัก
4. เราชอบวิพากษ์วิจารณ์
5. เราเป็นคนพึ่งตัวเอง
6. เราขัดขืนจิตสำนึก ที่ชี้ให้เราเห็นบาปของเรา
7. เราไม่ยอมไปคืนดีกับคนที่เราทำผิด
8. เราไม่ได้แก้คืน สิ่งที่เราทำผิด
9. เรามีอคติ
10. เราขมขื่น
11. เราแก้แค้นคน
12. เรายังทะเยอทะยานฝ่ายโลก
13. เรายอมฟังเฉพาะบางเรื่อง ปฏิเสธความสว่างใหม่ที่ทรงสำแดง
14. เราถือพวกถือคณะ
15. เราเห็นแก่ คนของเราเท่านั้น
16. เราปฏิเสธการสอนของพระวิญญาณ
17. เราทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย
18. เราดับพระวิญญาณ โดยฝืนทำผิดต่อไป
19. เราทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย เพราะไม่เข้าเฝ้า
20 เราปฏิเสธพระองค์โดย หัวเสีย
21 เราทำธุรกิจทุจริต
22 เราไม่อดทนในการเข้าเฝ้า
23 เราเห็นแก่ตัวในรูปแบบต่าง ๆ
24 เราละเลยไม่ศึกษาพระคัมภีร์ และไม่อธิษฐาน
25. เพราะยุ่งกับธุรกิจการงานมาก การศึกษามาก เราจึงอธิษฐานน้อย
26. เราไม่ได้ถวายตัวทั้งหมดให้พระเจ้า
27 ท้ายที่สุด สำคัญที่สุดด้วย เราไม่มีความเชื่อ
เราจึงอธิษฐานขอพระวิญญาณ แต่เราไม่ได้รับ “ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็ได้กระทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา” (1 ยน 5:10) เรื่องนี้จึงเป็นบาปใหญ่ที่สุด เป็นการหมิ่นพระองค์ กล่าวหาว่า พระเจ้าตรัสมุสา
ผมได้สรุปไปแล้วว่า การทำบาปเหล่านี้ ทำให้น้อยคนได้รับ ทำให้หลายคนตั้งคำถาม ผมบอกว่าผมไม่มีเวลาได้บรรยายด้านตรงกันข้าม ต่อมา มีคนมาถามผมว่า “ด้านตรงกันข้าม” นั้นคืออะไร?
ด้านตรงกันข้ามก็คือ แน่นอน เราจะได้รับ “ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน” ตามพระสัญญา และเราจะประสบความสำเร็จในการนำวิญญาณ ถ้าเราทูลขอ และได้รับเงื่อนไขดังกล่าว เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา โปรดสังเกตน่ะครับ ผมเทศนาเรื่องนี้ในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพิ่มเติมจากที่ผมได้บรรยายมาแล้ว จึงมีคำถามต่อมาว่า ถ้าเราได้จัดการกับความบาปทุกอย่างแล้ว ยังมีอะไรอีกที่ปิดกั้น ไม่ให้เราได้พระพร เรายังขาดอะไรอีก?
คำตอบ คือ
มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่าง สันติสุข และ ฤทธิ์เดช ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในจิตใจของเรา
พวกสาวกเป็นคริสเตียนก่อนวันเพนเตคศเต พวกเขาจึงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมมีสันติสุข เพราะได้รับการยกโทษความบาป เป็นผู้ชอบธรรม แต่ยังไม่ได้รับการสวมทับด้วยพระวิญญาณ ที่จะทำให้พระราชกิจประสบความสำเร็จ ตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขามีสันติสุขในพระคริสต์ แต่ไม่มีฤทธิเดช ตามพระสัญญา
เรื่องนี้ อาจเป็นจริงกับเราที่นี่ด้วย ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นความเข้าใจผิดของคริสตจักร และงานรับใช้ คริสเตียนกลับใจใหม่แล้วและพักสงบอยู่ที่นั่น ไม่เสาะหาการสวมทับของฤทธิ์เดชพระวิญญาณ เขาจึงไม่มีพลังทำอะไรเพื่อพระเจ้าหรือเพื่อใคร เขาไม่ได้ขอเสียด้วย เขายึดอยู่บนความหวังในพระคริสต์ เข้ามารับใช้ โดยไม่ตระหนักว่าเขาต้องรับฤทธิ์พระวิญญาณ เมื่อเราถวายทรัพย์ จงถวายทุกสิ่งที่แท่นบูชากด้วย แล้วเราจะพบพระเจ้า พระองค์จะเปิดบัญชรท้องฟ้า เทพรหลั่งไหลมาให้ จนเราไม่มีภาชนะจะรองรับ



Visitor 290

 อ่านบทความย้อนหลัง