คำอธิษฐานที่เคลื่อนภูเขา


ศบ,
พระเยซูตรัสตอบเหล่าสาวกว่า “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด” เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใด ๆ จะสั่งภูเขานี้ว่า “จงลอยไปลงทะเล” และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง” เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:23-24)


ผมเคยได้ยิน คนพูดเชิงแซว คนที่อธิษฐานตามอย่างพระเยซู ว่า ตัวเองยืนอยู่หน้าภูเขา ถัดไปก็เป็นทะเล หลับตาปี๋ อธิษฐานเสียงดัง ว่า ในนามพระเยซู ขอให้ภูเขาตรงหน้านี้ ถอยลงทะเล สักครู่ลืมตาขึ้นมา เห็นว่า ภูเขายังตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เคลื่อนไปไหน อุทานขึ้นมาว่า “นึกแล้วไง ว่ามันต้องยังอยู่ที่นั่น”


จึงสรุปว่า พระสัญญาของพระเยซูไม่เป็นความจริง เขาลืมไปว่า พระองค์มีท่อนหลังด้วย “และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง”


โรเบิร์ท ชูเลอร์ พูดเรื่องความเชื่อที่เคลื่อนภูเขา ว่าหมายถึงความเชื่อ ที่เอาชนะอุปสรรค อุปสรรคเป็นเสมือน ภูเขามาดักหน้าขวางกั้น แต่เราไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ เราต่อสู้โดยเชื่อมั่นในพระเจ้า แล้วเราก็จะเอาชนะได้ เขาจะระเบิดภูเขา เขาจะเดินทางอ้อมไปตามหว่างเขา เขาจะปีนขึ้นบนภูเขา จะตัดถนนเลื้อยข้ามภูเขา หรือเจาะภูเขาจนไปถึงเป้าหมาย ไม่ใช่หลับตาปี๋ อธิษฐาน ไม่ทำอะไร แล้วหวังว่าภูเขาข้างหน้าจะจมหายไปต่อหน้า งานคริสตจักรก็เช่นเดียวกัน มีอุปสรรคเรื่องคน เรื่องเงิน เรื่องความรู้ เรื่องสถานที่ประชุม เรื่องการไม่เข้าอกเข้าใจกัน เรื่องถูกข่มเหง เรื่องคนเฉยเมย เรื่องการโจมตีจากมาร บางทีก็ใหญ่โตเป็นภูเขาเลากา แต่เพระเยซูทรงสอนเราว่า ให้เราเชื่อพระองค์ มั่นคง ยืนหยัด มั่นใจมากจน กล้าพูดออกมาจากปากว่า “มันต้องถอยลงทะเลไป” แล้วสู้ต่อไปไม่ถอย “มันจะฟังท่าน”


สัปดาห์ก่อนคุณกมล กับน้องติ๋ว ชวนผมกับหยุย ไปทัวร์ยุโรป ประมาณ 1 อาทิตย์ ครับ ขอบใจน้องทั้งสอง เริ่มจากนั่งรถบัส ทัวร์กรุงโรม จากกรุงโรม ไปเมืองเวนิส ในอิตาลี จากนั้นก็ขึ้นเหนือ ไปค้างคืนที่สวิสซ์คืนหนึ่ง เที่ยวชมภูเขา ที่ยังมีหิมะปกคลุมสวยงามมาก แล้วเดินทางเข้าฝรั่งเศส จบเส้นทางที่กรุงปารีส ซึ่งมีอะไรให้ชม และชวนคิดมากมาย
ความจริงผมเคยปสวิสซ์มาก่อน แต่คราวนี้ก็แตกต่างจากคราวก่อน เพราะครั้งก่อน ผมไปเฉพาะที่เจนีวา และพักอยู่ที่โลซาน ซึ่งอยู่ทางตะวันตก แต่คราวนี้นั่งรถทัวร์ ไปทางตะวันออก และขึ้นไปทางเหนือ สวิสซ์เป็นประเทศที่มีภูเขาเต็มไปหมด เขาว่าสวิสซ์มีภูเขามากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของภูมิประเทศ ทั้งมีทะเลสาบมากด้วย มากกว่า 1,500 ทะเลสาบ ทีนี้เวลาเขาจะเดินทางจากเมืองหนึ่ง ถึงอีกเมืองหนึ่ง ถ้าเป็นบ้านเรา ก็คงใช้วิธีสร้างถนนเลื้อยขึ้น และลงจากภูเขา อย่างที่ผมเดินทางจากเชียงใหม่ ไปแม่ฮ่องสอนวันก่อน มีทางโค้งทั้งหมด 4,088 โค้ง แต่เขาไม่ใช้วิธีปีนเขาแบบนั้นมากมายนัก ส่วนมากใช้วิธีเจาะภูเขา สร้างอุโมงค์มุดจากฝากหนึ่งไปโผล่อีกฝากหนึ่ง เจาะภูเขากันเป็นลูก ๆ


รถบัสคันที่เรานั่ง ขับลอดใต้อุโมงค์ นับไม่ถ้วน คือ มากครับ ผมไม่ได้นับ แต่ละอุโมงค์ก็ยาวไกลไม่เบา อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเส้นทางที่รถทัวร์วิ่งผ่านคราวนี้ ชื่อว่า อุโมงค์ ถนน ก็อตธาร์ด (The Gotthard Road Tunnel) ซึ่งมีระยะทาง 16.9 กิโลเมตร เป็นช่วงที่รถวิ่งจากเมือง โกเชนเนน ไปยัง เมือง แอโรโล ความยาวไกลของอุโมงค์นี้ เคยเป็นแชมป์ ความยาวไกลที่สุดในโลกอยู่หลายปี จนถึงปี 1980 แต่มาถึงวันนี้ เขาติดอันดับ 9 ของโลกไปแล้ว ระยะทางขนาดนี้ ก็ประมาณ ปากซอยอ่อนนุช ถึงหัวตะเข้ ครับ ขณะนั่งรถลอดอุโมงค์ ผมอดคิดถึงพระดำรัสของพระเยซูไม่ได้ พระองค์ตรัสว่า ถ้าเราเชื่อพระเจ้า เราจะสั่งให้ภูเขาถอยลงทะเล โดยไม่สงสัยในใจมันก็จะฟังเรา ผมอดคิดไม่ได้ว่า การเจาะภูเขาให้รถวิ่งผ่าน โดยไม่ต้องปีนเขา ไม่ใช่เรื่องหมู ๆ รถสามารถวิ่งสวนกันได้ด้วย มีไฟติดตลอดทาง มีทางทีคนออกไปได้เป็นช่วง ๆ ถ้ามีอุบัติเหตุ มีการบอกระยะว่า อีกกี่กิโลเมตร จึงจะถึงปากอุโมงค์ วันนี้สว่านยักษ์ เจาะอุโมงค์ และ ท่อปูนขนาดยักษ์ที่มาสวมกันเข้ามาเป็นทอด ๆ ดูจะเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อยไปสำหรับวิศวกร ยุคไฮเทคไปเสียแล้ว


ผมจำได้ว่า ปี 1974 ที่ผมไปสวิทซ์ เคยได้เห็นเครื่องจักรเจาะอุโมงค์ในคราวนั้น แต่ต่างจากวันนี้มากนัก ตอนนั้นดูจะเทอะทะ แต่ก็อดชมคนที่ทำงานนี้ไม่ได้ ว่ากันว่า คนที่คิดการเจาะภูเขาเป็นทางรถวิ่งผ่าน ครั้งแรก คือ นาย คาร์ล วอน กีห์กา (Carl Ritter von Ghega) สร้างอุโมงค์รถไฟ มุดภูเขาครั้งแรกที่ ออสเตรีย ระยะทางประมาณ 1. 5 กม. จากกรุงเวียนนา ถึง เมืองเทสเต เพื่อเชื่อมต่อเมืองสองเมืองนี้เข้าด้วยกัน ในปี 1854 เป็นอุโมงค์ให้รถไฟวิ่งผ่าน เหมือนถ้ำขุนตาน ที่ลำปาง เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ที่ดีอย่างทุกวันนี้ หลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้ ผู้คนนึกขำตัวเขาด้วยซ้ำไป แต่เมื่อทำได้จริง เปิดใช้ในปี 1867 ต่อมาประเทศต่าง ๆ ในยุโรปก็ทำตามเป็นทิวแถว รวมทั้งสวิสเซอร์แลนด์ อเมริกา จีน และญี่ปุ่น

นั่งรถบัสลอดอุโมงค์ ผมอดคิดไม่ได้ถึงพระดำรัสของพระเยซู ถ้าเราเชื่อพระเจ้า มั่นใจในนิมิตที่พระเจ้าประทานให้ เชื่อมากจนลั่นปากออกมา ว่าพระเจ้าประสงค์ให้เราทำอะไร ยืนหยัด มั่นคงทำสิ่งหนักเกินกำลัง ที่ใคร ๆ ก็มองว่ายาก ก็จะเป็นไปตามความเชื่อของเราจริง วันนี้งานพระเจ้าขาดทั้งคนงาน ขาดทั้งเงิน ขาดทั้งวิชาความรู้ แต่อุปสรรคทั้งหมดนี้ก็ท้าทายเราไม่ใช่หรือ
คุยกับน้องบิวท์ เขาเล่าให้ผมฟังว่า สิงคโปร์วันนี้ สร้าง มารีนา เบย์ แซนด์ (Marina Bay Sand) โดยการถมทะเล เพิ่มเนื้อเที่เกาะสิงคโปร์ 120,000 ตารางเมตร เพิ่งเปิดใช้มาเมื่อ ปี 2010 มีโรงแรมราคาแพงโลดอยู่ที่นั่น ใครจะคิดว่าพระดำรัสของพระเยซู เป็นจริงสำหรับทุกคนที่มีความเชื่อ ต่อสู้โดยไม่ยอมถอย

โรเบิร์ท ชูเลอร์ แนะนำว่า ความเชื่อเพื่อจะยกภูเขา ตามพระดำรัสของพระเยซู ต้อง


1 ต้องฝันก่อน พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คทอพลังของ ความคิดสร้างสรรค์ ความสำเร็จทุกอย่างเริ่มขึ้นจาก ความฝัน ให้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในตัวของเรา วาดภาพตัวเรา ว่าเราต้องการทำอะไรให้สำเร็จ เราเป็นสหายของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ความเชื่อเริ่มขึ้นที่ความฝัน


2 ต้องปรารถนา เราต้องอยากได้สิ่งนั้นอย่างมาก ไม่รู้ละ สักวันหนึ่ง โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง โดยวาระใดวาระหนึ่ง ที่ไหนสักที่หนึ่ง สิ่งที่เราฝันนั้นจะต้องเกิดขึ้นให้จงได้ ภาษิตที่เรารู้ดี ก็คือ “มีความปรารถนาที่ไหน มีความสำเร็จที่นั่น” ถ้าเราปรารถนามันอย่างจริงจัง เราจะวางแผน จะจัดการ จะรวบรวม จะทำงาน จนกระทั่งเราได้มันมา ตรวจสอบก่อนก็ได้ว่า มันใช่น้ำพระทัยหรือไม่ เมื่อใช่ ก็มุ่งหวังทำให้ได้


3. ต้องกล้าเสี่ยง ความสงสัย ทำให้เราไม่กล้า เรากลัวขายขี้หน้า กลัวไม่มีใครร่วมมือ กลัวเหนื่อย กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา เราต้องกล้าเสี่ยง แค่ฝัน และปรารถนาไม่เพียงพอ เราต้องกล้าพบความล้มเหลว พบความบกพร่อง


4. ต้องลงมือทำ เริ่มลงมือ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง หลายคนฝัน แต่มิได้เริ่มทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ลงมือ มันก็คือการหลอกตัวเอง มันคือการฝันเฟื่อง ไม่มีใครมาร่วมไม้ร่วมมือกับเรา ถ้าเราไม่ลงมือ “การเริ่มต้นทำ สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว” เรามิอาจให้พระเจ้าเคลื่อนภูเขาของเราหากเรา นั่งอยู่ในรั้วบ้าน ไม่ออกไปไหน


5. ต้องคาดหวัง หลายคนไม่ได้รับ เพราะไม่คาดหวังว่าจะได้อะไร ดร. นอร์แมน วินเซนท์ พีล กล่าวว่า “ความหวัง เป็นพลังที่ทำให้สำเร็จ” ทำไม เพราะคนที่หวังว่าจะมีชัยชนะ จะไม่รามือ เขาจะทุ่มเท หลายคนไม่ประสบความสำเร็จ มิใช่เพราะขาดความสามารถ ขาดปัญญา หรือขาดโอกาส แต่เขาล้มเหลว เพราะเขาไม่ทุ่มเทเต็มตัว เมื่อท่านคาดหวังความสำเร็จ ท่านเทกระเป๋าจ่าย บางคนทำไม่สำเร็จ เพราะไม่กล้าตัดสินใจ แต่ บางคนตัดสินใจแล้ว แต่ไม่คาหวังความสำเร็จ

 


6. ต้องเชื่อมั่น ความเชื่อ แน่ใจว่าสำเร็จมาตั้งแต่ต้น เขาประกาศชัยชนะ ปกติคนเราจะ สุภาพไม่คุยโวโอ้อวด เราจึงเงียบ ๆ แต่ความเชื่อยกภูเขา พูดออกมา ให้ได้ยินไปทั่ว เปาโลว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ดดยมีพระเยซูเป็นผู้ชูกำลังข้าพเจ้า” เขาเป็นคนพยากรณ์ชัยชนะ


7. ต้องรอคอย ความเชื่อ ต้องรอคอย การเสี่ยงภัยทุกอย่าง มาถึงเวลาของการรอคอย เวลาปัญหาเข้ามท่วมท้นเรา ความเชื่อต้องอดทน


8. เราต้องยอมรับ เราต้องยอมจำนน ต้องยอมมอบกับพระเจ้า ให้พระองค์เป็นผู้ทำการของพระองค์ต่อไป


ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ



Visitor 259

 อ่านบทความย้อนหลัง