เกิดผล เพราะมีราก

ศบ.

          (ลูกา 8:13)

 

           ซึ่ง​ตก​ที่​หิน​นั้น​ได้แก่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ได้​ยิน​แล้ว ​ก็​รับ​พระ​วจนะ​นั้น​ด้วย​ความ​ปรีดี แต่​ไม่​มี​ราก เชื่อ​ได้​แต่​ชั่วคราว เมื่อ​ถูก​ทดลอง​เขา​ก็​หลง​เสีย​ไป​

 

             เมล็ดพืช  เปรียบกับ “พระคำ”  หรือ  “ความจริงแห่งพระวจนะ “  ดิน เปรียบ กับ “จิตใจของผู้ฟัง” พระเยซู ทรงเปรียบเทียบ  ผู้ฟัง  ที่รับเอาพระคำ  แค่ผิว ๆ เผิน ๆ  เหมือน เมล็ดพืชที่ตกลงในดินที่มีหินมาก แต่ดินน้อย  เมล็ดพืชไม่อาจหยั่งรากลงไปได้  พระวจนะคำ ที่เขาฟังมา  มิอาจทะลุทะลวงลงไปสู่จิตใจได้  จึงไม่มีราก

     

             พระวจนะ คือ  เมล็ดพืชพันธุ์ดี

 

             ตอนผมเรียนอยู่ที่ ม. เกษตร อาจารย์ให้เราปลูก กะหล่ำปลี  ข้าวโพด  และ มะเขือเทศ  ก่อนปลูกมะเขือเทศ  อาจารย์  สอนให้เตรียมเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศเอง โดยการเอามะเขือเทศที่สุกงอม  ผ่าและคว้านเอาแกนและเมล็ดออกมา  ตากแดด ให้แห้ง  เมล็ดพันธุ์มะเขือเทศที่อาจารย์ให้พวกเรามานั้น   เป็นมะเขือเทศพันธุ์ดีเยี่ยม  ผมจำชื่อไม่ได้  แต่ปลูกแล้วได้มะเขือเทศลูกโต  น่ากินเชียว  

 

               ในคำอุปมาของพระเยซู  เมล็ดพันธุ์ที่ปลูก  หมายถึง “พระคำ” ซึ่งต้องถือว่าเป็น “เมล็ดพันธุ์ประเสริฐ


                                           


                  

 

ที่สุด” ไม่มีความรู้เรื่องใดในโลก   ที่สอนคนเราในการใช้ชีวิตให้รอด  ปลอดภัย เข้มแข็ง สวยงาม  เท่ากับพระคัมภีร์  เปาโล  เรียกเมล็ดพันธุ์นี้ว่า  “พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” นั่นคือการพาเราหลุดพ้นจากอำนาจของบาป  พ้นโทษไปสวรรค์ได้” นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์ในการสอน  การตักเตือนว่ากล่าว  การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดีขึ้น  และการอบรมในทางธรรม  เพื่อเราจะพรักพร้อมทำการดีทุกอย่าง 

  

           เราต้องประกันได้ว่า เมล็ดพันธุ์แห่งพระวจนะที่เราใช้ประกาศ  สั่งสอน  นั้นไม่บกพร่อง  

 

           พระเยซูตรัสว่า ศัตรูไม่พอใจ  เวลาเราปลูกข้าวดี   มันก็ลักลอบเอาข้าวละมาน(ข้าวลีบ)  เข้ามาปลอมปน  มารพยายามทำเช่นนี้มาโดยตลอด คือ บิดเบี้ยว  แต่งเติม พระวจนะด้วยคำสอนเท็จ  ให้คนฟังหลงผิด  มารลวงให้คนติดอยู่ที่เปลือกนอก  ทำให้ไม่เกิดผล  เกษตรกรทราบดีว่า  การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชไม่ให้เสีย  เป็นสิ่งจำเป็นแค่ไหน  

 

          เมล็ดพืชต้องหยั่งราก คนฟังต้องเข้าใจ

 

          ในการปลูกเพาะเมล็ดมะเขือเทศ  ขนาดเล็ก ๆ  พอ ๆ กับเม็ดพริกนั้น อาจารย์ให้พวกเราเตรียมกระบะดิน  ที่มีก้อนดินละเอียด รดน้ำให้ชุ่ม เพาะอยู่ประมาณ 3  วัน  มันก็หยั่งราก  และชูยอดต้นอ่อนขึ้นมา แปลงเพาะมะเขือเทศนี้  ต้องอยู่ในที่ร่ม  ไม่ใช่กลางแดดกล้า ทำให้ผมนึกถึง คนใหม่ ๆ ที่เข้ามาฟังพระวจนะ การถนอม หนุนใจให้เขามีความเชื่อในพระเจ้า  เป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นช่วงเวลาของการหยั่งราก  

 

พระเยซูตรัสว่า  เมล็ดพืชที่ตกในดินดี ได้แก่คนเหล่านั้นที่ฟังแล้ว เข้าใจ  (มัทธิว 13:23) การถ่าย ทอดพระกิตติคุณ หรือการสอนพระคำ จำเป็นต้องให้คนฟังเข้าใจ  เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจ  มารก็ฉกฉวยพระคำนั้นไปเสีย ( มัทธิว 13:1) เรื่องพระเจ้ามีเหตุมีผล ไม่ได้บอกให้คนฟังหลับหูหลับตาเชื่อ  ( 2 ทิโมธี 4:2 ) เมื่อเขาเข้าใจ  มันดึงออกไปจากความคิดเขาไม่ได้  อีกตอนหนึ่ง  พระเยซูตรัสว่า “เมล็ดพืชที่ตกในดินดีนั้นได้แก่  คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา แล้วจดจำไว้  จึงเกิดผลด้วยความเพียร” (ลูกา 8:15)  การพยายามอธิบายให้คนเข้าใจ  เป็นงานของผู้ประกาศและครู  แต่การที่ใครจะเลื่อมใสศรัทธาหรือไม่นั้น  อยู่ที่ตัวผู้ฟังเอง “เลื่อมใส” หมายถึง การเห็นดีเห็นงาม  เชื่อถือวางใจ และจดจำนำมาใช้ ไม่มีใคร อดรนทนฟังคนที่ตนไม่ศรัทธาพูดได้นาน แต่พอเราเชื่อถือศรัทธา  เราฟังเขาเป็นชั่วโมง ๆ ได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  การอธิบายที่มีเหตุมีผล   บวกกับคนฟังที่เลื่อมใสศรัทธา ทำให้เกิดความเข้าใจ และนี่คือการหยั่งราก  เหมือนเมล็ดมะเขือเทศงอกราก 


                       

 

   เราต้องเอาหิน แห่งความคิดผิด ออก   

 

              เมื่อนำต้นอ่อนไปลูกในแปลงผัก เราต้องเตรียมดิน ทำเป็นแปลงดิน ยาวประมาณ 1 X 5 เมตร  เราฟันดินก้อนโต ๆ ลงเป็นดินก้อนเล็ก ๆ โดยเฉพาะที่ผิวหน้าดิน  เคลียร์ เอาเศษหินแข็ง ๆ ออกจากร่องผักทั้งหมด ใส่ปุ๋ยหมัก และเอาต้นอ่อนของมะเขือเทศจากแปลงเพาะ มาปลูกลงในร่องดิน ที่เตรียมไว้  ตอกไม้ทำเป็นร้านเตี้ย ๆ เอาทางมะพร้าว  มาบังแสงแดด   ให้ต้นอ่อนของมะเขือเทศถูกแดดอ่อน ๆ เท่านั้น  ไม่กี่วันรากของต้นอ่อนก็แทงลงไปในดินลึก  ทั้งชูยอดสูงขึ้น เป็นต้นมะเขือเทศขนาดเล็ก  

 

                             

 

  ผมไม่ลืมคำอุปมาของพระเยซูเรื่องชาวนาหว่านพืช ถ้าเมล็ดตกลงที่มีหินมากดินน้อย รากชอนไชลงลึกไม่ได้ เราจึงได้ต้นที่ไม่มีราก แน่นอนมันจะดูดซับน้ำและอาหารจากดินไม่ได้ ทรงตัวก็ไม่ได้ ลมพัดก็โค่น แดดจัดก็เหี่ยว  

 

               วันนี้คริสตจักรมีการประกาศพระกิตติคุณออกไปอย่างกว้างขวาง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด  มีหลายคนออกมารับเชื่อ บางครั้งก็มีจำนวนมาก  ซึ่งต้องขอบพระคุณพระเจ้า แต่ไม่นานเขาก็หายไป  เมื่อเขาต้อนรับพระองค์ เขาก็ต้อนรับด้วยความยินดี พระเยซูตรัสว่า “ซึ่งที่ตกที่หินนั้นได้แก่คนเหล่านั้น  ที่ได้ยินแล้ว ก็รับพระวจนะนั้น  ด้วยความปรีดี  แต่ไม่มีราก  เชื่อได้แต่ชั่วคราว เมื่อถูกทดลองเขาก็หลงเสียไป” ( ลูกา 8:13)  พระเยซูตรัสชัดเจนว่า เขาไม่มีราก แปลกันชัด ๆ ก็คือ ความเข้าใจความจริงตามพระวจนะไม่มี  รากฐานความเชื่อจึงไม่มั่นคง พอได้ยินคนนั้นว่าอย่างนี้  คนนี้ว่าอย่างนั้น  ตนเองก็รวนเร  ถูกซัดไปซัดเม  หันไปเห มาด้วยคำสั่งสอนทุกอย่าง  เหมือนต้นที่ไม่มีราก  พายุหรือแดดจัดมาก็เหี่ยวแห้งไป 


                                   


               

 

  ความเชื่อของพี่น้องคนไทยเรา ยังมีมากกว่านี้อีกมาก พระวจนะ อันเป็นเมล็ดพันธุ์สามารถ ให้คำตอบได้ทุกข้อ

 

        ผมเข้าใจว่า  มิใช่คนไทยเราจะเชื่ออย่างที่ผมเขียนมาทุกข้อ  แต่นี่คือสิ่งที่ผมมักได้ยินได้ฟัง ทั้งจากพี่น้องที่ซักถามด้วยความอยากรู้ ผมอยากบอกว่า หลายข้อที่เป็นความเชื่อ ก็ขัดแย้งกันอยู่ในตัว เมื่อซักถามพี่น้องก็ตอบไม่ได้ เช่น บางคนว่าวิญญาณดับสูญ หรือเวียนว่ายตายเกิด  เมื่อถามว่าจะส่งอาหาร เช่น เป็ด ไก่ ไปให้เขากิน เขาจะกินที่ไหน อย่างไร 

 

         ผมรับประกันได้ว่าพระคัมภีร์สอนความเชื่อเราอย่างมีเหตุมีผล สอดคล้องกับความเป็นจริงทุกข้อ  เรื่องพระเยซู เป็นพระบุตรพระเจ้า เป็นเรื่องท้าทายคนเราอย่างมาก แต่เรื่องราวของพระเยซู แผนการที่พระเจ้าส่งพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อไถ่โทษบาป ทั้งประสบการณ์ที่พี่น้องอธิษฐานและพระองค์ทรงตอบ การเล้าโลมใจ ความสัมพันธ์กับพระองค์เป็นส่วนตัว ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นประจักษ์พยานที่เป็นรากฐานของความเชื่อ เหมือนรากของต้นมะเขือเทศ  

 

ก่อนผมจบบทความนี้  ผมอยากหนุนใจว่า  เมื่อท่านแสวงหาพระเจ้า  ฟังพระวจนะคำ ท่านต้องมีราก  คือทำความเข้าใจความจริง  ถ้าไม่เข้าใจก็ขอให้ถาม  อย่าเก็บไว้  พระคัมภีร์เป็นความจริง  เป็นความสว่าง ไม่มีการสอนเรื่องใดที่เป็นเรื่องเร้นลับ  ไม่ต้องกลัวพระเจ้าจนแต้ม  เราแต่ละคนย่อมมีความเข้าใจ  เป็นภูมิหลังของตน ไม่มีใครรู้ทุกสิ่ง  คนฉลาดคือคนที่กล้าเผชิญความจริง  และนำมาประมวล วิเคราะห์ ไตร่ตรอง และตัดสินใจเลือกความเชื่อที่มีเหตุมีผล  ผมกล้ารับประกันว่า  ท่านจะพบความสว่าง  กระจ่างแจ้ง  ท่านจะมั่นคง คนฉลาดคือคนที่ฟังเหตุฟังผล  แน่นอน ท่านจะพบพระเจ้าเป็นส่วนตัว และท่านจะมีความสุข  ท่านจะเกิดผลมาก  พระเยซูตรัสว่า เมล็ดที่ตกที่ดินดี ได้แก่คนที่ฟังพระวจนะ  เข้าใจ  รับไว้  ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา  จึงเกิดผล 30 เท่าบ้าง  60 เท่าบ้าง 100 เท่าบ้าง เชื่อผมเถอะ 


                                    

 



Visitor 265

 อ่านบทความย้อนหลัง