พระเจ้าเท่านั้นคืนชีพได้
Only God can raise from the death

 


ศบ.
อีสเตอร์ พิสูจน์ว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า

การคืนพระชนม์ของพระเยซู เป็นข้อพิสูจน์ประการหนึ่ง ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ มนุษย์ อย่างเราๆ ท่านๆ พระเยซูเอง ไม่เคยตรัสอ้อมๆ แอ้ม เรื่องการเป็นพระเจ้าของพระองค์ พวกยิวโกรธ เลือดขึ้นหน้า ว่าพระองค์ตีตนเสมอพระเจ้า เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นลูกของโยเซฟ ช่างไม้ ครั้งหนึ่งในพระวิหาร เมื่อพระองค์ตรัสว่า “อับราฮามบิดาของท่าน ยินดีที่จะเห็นวันของเรา..” พวกยิวยั๊วะทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮามหรือ” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราดำรงอยู่ก่อนอับราฮามเกิด” เท่านั้นแหละ พวกยิวก็หยิบก้อนหินจะข้วางพระองค์ แต่พระองค์ทรงหลบไป (ยอห์น 8:56-59)

ในโลกนี้ ใครก็อ้างตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ได้ทั้งนั้น สมัยผมเป็นเด็ก ผมเคยเห็นคนสติไม่ดี แต่งตัวเหมือนลิเก ร้องบอกใครต่อใครว่าตนเป็น “พระนารายณ์” คนฟังแกแล้วหัวเราะ ไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครเชื่อ บ้านผมขายยาสามัญประจำบ้าน ชายคนนี้ชอบมาขอยาแก้ไอโยคีไปทาน และคุณแม่ท่านก็ให้ เป็นพระนารายณ์ได้ยังไง ไม่สบายยังช่วยตัวเองไม่ได้ ผมไม่รู้แกตายยังไง ถึงวันนี้ คงตายไปนานแล้ว

พระเยซู ทรงเป็นบุคคลหนึ่งที่ตรัสชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ถ้าพระองค์มิได้เป็นพระเจ้าจริง พระองค์ก็ต้องเป็นนักลวงโลกตัวยง หรือ เป็นคนเสียสติ ถ้าพระองค์มิได้เป็นพระเจ้า ก็แปลก เพราะคนเชื่อพระองค์ทวีขึ้นเรื่อยๆ เป็นพันเป็นหมื่น เป็นแสนเป็นล้าน เป็นล้านๆ เพราะคำสอนของพระองค์ ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่สับสน มีเหตุมีผล ตรงใจคน และเพราะการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงช่วยผู้คน เช่น เปิดตาคนตาบอด เปิดหูคนหูหนวก เปิดปากคนใบ้ รักษาคนง่อย คนโรคเรื้อน เรียกคนตายให้เป็นขึ้น ทั้งเคยเลี้ยงคน 5,000 คน (นับแต่ผู้ชาย) ด้วยขนมปังพียง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว กินอิ่มหมดทุกคน คนยิวรอพระเมสสิยาห์ คือพระผู้ไถ่โทษบาปมาเป็นพันๆ ปี ในวันปาล์มซันเดย์ คือวันที่พระองค์เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม จึงมีคลื่นฝูงชนที่เคยรับการช่วยเหลือแห่แหน ยกย่องพระองค์เป็นกษัตริย์มืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคลื่นของผู้นำชาวยิวที่อิจฉา และต้องการสังหารพระองค์

ผมเล่าให้สั้นลง

ผลสุดท้าย ผู้นำชาวยิวก็ทำได้สำเร็จ คือยืมมือปีลาต ข้าหลวงโรมันที่เยรูซาเล็ม ตัดสินตรึงพระองค์บนไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึงบนเนินเขาโกละโกธา ต่อหน้าต่อตาคนทั้งเมือง วันศุกร์ ตอน 9 โมงเช้า พอบ่าย 3 โมง พระองค์ก็สิ้นพรั้ชนม์ แต่พระเจ้าทรงล้ำลึกกว่ามาร ผู้นำยิวและมารไม่เคยคิดว่า การวายพระชนม์เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อไถ่โทษบาปผู้เชื่อ ผมเล่าต่อ ตอนเย็นวันศุกร์ สาวก ลับๆ คนหนึ่งเป็นเศรษฐีมีเงิน ชื่อโยเซฟ อาริมาเธีย ขอนำพระศพของพระองค์ไปฝังไว้ในอุโมงค์ของตน ส่วนพวกสาวกที่ติดตามพระองค์เรื่อยมา หวั่นการจับกุมของพวกยิว กลัวหัวหด ไปขังตัวเองอยู่ในห้องเงียบๆ แห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม

คนยิวคิดว่าชีวิตนักลวงผู้อ้างว่าตนเป็นพระเจ้าจบลงแล้ว

เพราะธรรมดาคนเรา ตายแล้วก็ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี กันทั้งนั้น พวกยิวนี่รอบคอบ คิดดักไว้ล่วงหน้า กลัวว่าพวกสาวกจะแอบไปลักพระศพของพระองค์ และปล่อยข่าวว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย จึงเรียนปีลาตขอนำทหารไปตีตรา และเป็นยามเฝ้าอุโมงค์ ซึ่งปีลาตก็จัดให้

ครับ ก็แค่นั้น หากพระองค์ไม่ฟื้นอีก

ความเชื่อเรื่องการเป็นพระเจ้าของพระองค์ คำสอน การวายพระชนม์เพื่อไถ่โทษตามที่พระองค์ตรัส คำสัญญาเรื่องสวรรค์ทั้งหมด ก็จบเห่กันแค่นั้น พวกสาวกก็คงหนีกระเจิดกระเจิงเอาตัวรอดกันไปคนละทิศคนละทาง แล้วเรื่องราวของพระเยซู ก็ไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป พระองค์ก็คงเป็นแค่ผู้เผยพระวจนะปากกล้า ฉลาดเฉียบแหลม คนหนึ่งที่จบกันไปตามวาระ

อีสเตอร์พลิกผันความเศร้าในวันเสาร์

แต่ปรากฏว่า วันต้นสัปดาห์ คือวันอาทิตย์ตอนเช้ามืด พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ โดยสาวกไม่ได้คาดหมาย มีทูตสวรรค์กลิ้งก้อนหินก้อนโต ที่ปิดปากอุโมงค์ออกไป พวกทหารสุดช็อค หนีไปเล่าเหตุการณ์ที่ตนเห็นแก่พวกปุโรหิต จนพวกยิวต้องติดสินบนทหารให้ปล่อยข่าวลือว่า พวกสาวกมาลักพาพระศพไป

พวกสาวกก็ไม่คิดมาก่อน สาวกจึงตื่นเต้นกันทั้งหมด

ในวันอีสเตอร์ครั้งแรกนั้น พระองค์ทรงปรากฏกับมารีย์มักดาลาก่อนใคร ต่อมาก็ทรงปรากฏกับพวกผู้หญิงที่นำเครื่องหอมไปชะโลมพระศพ พอพวกผู้หญิงทราบเรื่องอันน่าตื่นเต้นนี้ ก็รีบวิ่งไปบอกบรรดาสาวกที่กำลังโศกเศร้าในห้อง เปโตร และยอห์น ต้องการรู้ความจริง รีบวิ่งไปดูอุโมงค์ เห็นอุโมงค์ว่างเปล่า มีผ้าพันพระศพพับวางไว้เรียบร้อย บ่ายวันนั้น พระเยซูปรากฏและร่วมสนทนากับสาวก 2 คน ขณะเดินทางจากเยรูซาเล็มไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอูส ทั้งสองนึกว่าพระองค์เป็นแขกต่างเมือง จำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งได้นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน และคืนวันนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่สาวก 10 คน (ไม่มีโธมัส) ในห้องชั้นบน ในช่วง 40 วัน พระองค์พบยากอบ (น้องชายของพระองค์) พบเปโตรเป็นการส่วนตัว ในวันอาทิตย์หลังอีสเตอร์ ทรงพบกับสาวก 11 คน( คราวนี้ มีโธมัสอยู่ด้วย) ต่อมา ทรงปรากฏแก่สาวก 7 คน ที่ไปจับปลาที่ทะเลกาลิลี ได้ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา ปรากฏแก่เหล่าสาวก 500 คน พร้อมกันที่กาลิลี ที่ภูเขามะกอกเทศ ทรงพบสาวก 120 คน กำชับให้พวกเขาออกไปประกาศทั่วโลก แล้วทรงเสด็จสู่สวรรค์ ต่อหน้าต่อตาพวกเขา

การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู เป็นเหตุให้ทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ และตรัสข้างต้น ในช่วง 3 ปี เช่น พระสัญญา คำสอน คำอ้างว่าทรงเป็นพระบุตร การไถ่โทษที่กางเขน คำทำนายถึงอนาคต ของพระองค์เป็นความจริงขึ้นมา เหมือนคะแนนความเชื่อถือของจำเลยที่ถูกใส่ความ ในศาล เทลงมาทางพระองค์หมด
พระคัมภีร์ตอบข้อสงสัยทั้งหมด

บางคนสงสัยเรื่องการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ว่าเป็นเรื่องนิยาย เหมือนหนังอินเดีย มีผู้แย้งมากมาย เช่น (1) พระองค์ไม่ตายจริง แค่สลบไป (2) พวกสาวกมาลักพาพระศพ แล้วปล่อยข่าวลือ (3) พวกสาวกเห็นภาพหลอน ว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้น เรื่องราวในพระคัมภีร์ตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม

 

(1) พระองค์ไม่ตายจริง แค่สลบไป
เป็นไปได้ยากครับ
เพราะพระเยซูถูกทำโทษ สบักสะบอมยิ่งกว่านักโทษประหารคนใด พระเยซูถูกเฆี่ยนปางตายที่ป้อมอันโทนี ร่างกายร่วงโรยจนแบกกางเขนไม่ไหว ทหารต้องเกณฑ์ซีโมน ชาวไซรีน ชาวบ้านคนหนึ่งช่วยพระองค์แบกกางเขน การตรึงที่กางเขนโดดเด่นต่อหน้าคนทั้งเมือง ไม่ใช่ถูกยิงเป้าในกรมราชทัณที่ลับลี้ คนยิวไม่ต้องการให้นักโทษประหารค้างอยู่ที่ไม้กางเขน ข้ามวันสะบาโต เมื่อทหารต้องการสำเร็จโทษนักโทษ ให้เสียชีวิตเร็วที่กางเขน เขาใช้ค้อนทุบที่หน้าแข้ง ให้กระดูกหัก การเสียเลือดมากทำให้นักโทษสิ้นชีพเร็ว ทหารทุบขานักโทษ 2 คนข้างพระเยซู ครั้นมาถึงพระองค์เห็นว่า พระองค์วายพระชนม์แล้ว จึงไม่ได้ทุบที่ขาพระองค์ แต่เพื่อให้แน่ใจ เขาจึงใช้หอกแทงที่สีข้าง มีโลหิตปนน้ำไหลออกมา นี่คือเหตุการณ์ที่ไม้กางเขน คนยิวเป็นเจ้าของเรื่องจะยอมได้อย่างไร ถ้าพระองค์ยังไม่ได้วายพระชนม์จริง เป็นเพียงสลบไป เมื่ออยู่ในอุโมงค์ มีผ้าพันพระศพหนาแน่น มีหินปิดปากอุโมงค์ขนาดใหญ่ พระองค์จะเอาแรงที่ไหนพาตัวเองออกมา ทั้งที่มีทหารเฝ้าอยู่ด้วย

(2) สาวกลักพาพระศพ และปล่อยข่าวลือเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์
นี่ก็เป็นไปได้ยากอีก
เพราะสภาพสาวกในตอนนั้น อย่าว่าแต่จะทำวีรกรรม ไปลักพระศพเลย ตัวเองก็ขลาดกลัวหัวหด ผิดหวัง ท้อแท้ แทบเอาตัวไม่รอด และจะเอากะจิตกะใจที่ไหนไปลักพระศพโดยผ่านด่านทหารยาม จะต้องกลิ้งหินก้อนใหญ่ ลอดพ้นสายตาผู้คนทั้งหมด และเมื่อได้พระศพแล้ว จะเอาพระศพไปที่ไหน ที่สำคัญสาวกทำเช่นนั้น ทำไม ทำเพื่อจะสร้างคำสอนของคนคนหนึ่ง ที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ว่า ไม่เป็นจริง จนต้องสร้างเรื่องขึ้นมา แล้วต้องพร้อมพลีชีพ กับเรื่องโกหกมดเท็จที่ตนกุขึ้น เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีใครในโลกโง่เง่าเอาชีวิตเข้าไปแลกกับเรื่องโกหก ตรงกันข้าม เมื่อเป็นเรื่องจริง พระเยซูคืนพระชนม์จริง พวกเขากล้าหาญขึ้นอย่างมหัศจรรย์หมดทุกคน

(3) สาวกเห็นภาพหลอน
เรื่องนี้ยิ่งยากหนัก
ธรรมดา คนเราอาจแลเห็นภาพหลอน หากอาลัยอาวรณ์ถึงใคร ภาพหลอน คือการเห็นภาพทั้งๆ ไม่มีอะไร เอาละ สมมุติว่าอาจเกิดกับคนบางคน แต่เกิดภาพหลอนกับคน 2 คนพร้อมกันได้อย่างไร ยิ่งเกิดกับคน 10 คน 11 คน 120 คน และ 500 คน พร้อมกัน ยิ่งหมดสิทธิ์เกิดภาพหลอนกับคนจำนวนมากพร้อมกันขนาดนั้น พระเยซูปรากฏพระองค์เอง ด้วยพระกาย ที่โธมัส สามารถเอานิ้วมาแยงที่ฝ่าพระหัตถ์ ที่สีข้าง พระเยซูตรัสกับโธมัส ว่า “ผีไม่มีเนื้อและเลือด” สาวกรับประทานอาหารด้วยกันกับพระเยซู กลางวันแสกๆ ภาพหลอนจะกินอาหารได้อย่างไร พระคัมภีร์ตอบข้อสงสัย ทั้งหมดครับ

เรื่องราวการเป็นขึ้นจากตาย และการพบกับเหล่าสาวก ในช่วง 40 วันก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนทั้งหมด พระองค์มิได้เพียงทำให้เหล่าสาวกมั่นใจ ในการเป็นจากตายเท่านั้น แต่ทรงมอบหมายพระมหาบัญชาให้พวกเขาทำด้วย
พลังของสาวก หลังวันอีสเตอร์

ในพระมหาบัญชา ทรงตรัสว่า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเหล่าสาวก ทุกที่ที่พวกเขาไป จนกว่าจะสิ้นยุค แล้วเหล่าสาวกก็ออกไปประกาศพระกิตติคุณ อย่างห้าวหาญ มีพลัง ไม่กลัวตาย สาวก 11 คน ของพระเยซูจบชีวิตลงด้วยการถูกฆ่าตายเกือบทุกคน ถูกตัดศีรษะบ้าง เอาหินขว้างบ้าง ถูกตรึงบ้าง มียอห์นคนเดียวเท่านั้นที่ถูกปล่อยเกาะ ถ้าการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูไม่เป็นความจริง มีมนุษย์คนไหนหรือที่จะยอมพลีชีพ เพื่อสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นความเท็จ พระกิตติคุณขยายออกไปทั่วอาณาจักรโรมัน ท่ามกลางการต่อต้าน ในศตวรรษเดียว ผู้เชื่อทวีขึ้นแบบทวีคูณ

ชาวกรุงเยรูซาเล็มกลับใจ
แม้ในกรุงเยรูซาเล็มเองที่ พระเยซูถูกตรึงและถูกฝังไว้ หากพระองค์ไม่วายพระชนม์จริง เป็นขึ้นจริง เป็นไปได้หรือที่คนในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจะเชื่อถือ กิจการบทที่ 6 กล่าวว่า พวกปุโรหิตจำนวนมาก ได้เข้ามาเชื่อถือพระองค์ด้วย ครับ นี่คือกลุ่มที่มีส่วนสังหารพระเยซู

ผู้เชื่อในปัจจุบัน มีข้อพิสูจน์ยิ่งใหญ่กว่าประวัติศสาตร์
การทรงพระชนม์อยู่ของพระเยซู ไม่ได้พิสูจน์ได้เพียงแต่เหตุการณ์วันอีสเตอร์เท่านั้น แต่ผู้เชื่อทุกคนในโลก เชื่อถือศรัทธาในพระองค์ ก็เพราะสัมผัส รู้จักกับพระเยซูเป็นส่วนตัว ในปัจจุบัน นี่เป็นเหตุผลที่ศิษย์ของพระองค์ทวีขึ้นไม่หยุดยั่ง สาวกในปัจจุบัน ไม่ได้สนใจอุโมงค์ว่างเปล่า หรือเหตุการณ์วันอีสเตอร์ ในประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำ ผู้เชื่อ ศรัทธาพระเยซูเพราะต่างคนต่างสัมผัสพระองค์ด้วยตนเอง ตาสีตาสา ไม่รู้หนังสือ ไม่สามารถเรียงลำดับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ไม่เก่งในการตอบข้อโต้แย้ง เชื่อพระเยซูแข็งขัน เขามิไหลงงมงาย แต่ประสบการณ์ที่ตนพบสัมผัสพระเยซูนี้ ดังกว่า มีน้ำหนักมากกว่าประวัติศาสตร์เยอะครับ

เราจะใช้ชีวิตอย่างไร
เมื่อเราได้พบพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราจะนิ่งเฉยได้อย่างไร สิ่งที่พระองค์กระทำในช่วง 40 วัน คือมอบภาระกิจ พระมหาบัญชาให้แก่เหล่าสาวก และพวกก็รีบออกไปประกาศเข้มแข็ง เช่นเดียวกัน สิ่งที่เราควรทำ ไม่นิ่งเฉยคือการออกไปทำพระมหาบัญชาให้สำเร็จครับ
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร



Visitor 78

 อ่านบทความย้อนหลัง