เพลงรัก ของโบอาส

 

ศบ.

 

  นางรูธ สตรีตกยาก ผู้เข้าไปนั่งในหัวใจเศรษฐี

 

         นางรูธ มีอยู่แค่ 4 บท แต่สำคัญมาก เพราะเป็นหนังสือที่ปูทางไปสู่ ลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์  ช่วยอธิบายว่า พระเยซูเป็นเชื้อวงศ์ของดาวิดได้อย่างไร  และทำไมพระเยซูจึงประสูติที่หมู่บ้าน เบธเลเฮม  ยิ่งกว่านั้น เป็น ความรักอันหวานชื่นของ โบอาส เศรษฐี กับ  รูธ แม่ม่ายชาวโมอับ อันเป็นแบบ ของความรักของพระเจ้าที่ทรงมีให้เรา

 

         พระเยซูถูกเรียกว่า เจ้าบ่าว  และเราทั้งหลาย เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์  เราเข้ามาเป็นคู่ครองของพระองค์อย่างไร  ผมขอนำมาเปรียบเทียบ ว่า นางรูธ มาพบรักของโบอาสอย่างไร

 

 

 

 

1.  หญิงชาวโมอับ ดินแดนแห่งความเศร้า

 

            ก่อนอื่นขอเล่าที่มาที่ไปของเรื่องก่อน  

 

            เรื่องนี้เกิดในสมัยผู้วินิจฉัย แผ่นดินอิสราเอลเกิดกันดารอาหาร แห้งแล้ง เอบีเมเลค เผ่ายูดา ชาวเบธเลเฮม ตัดสินใจพา นางนาโอมี ภรรยา และลูกชาย 2 คน คือ มาห์โลน กับ คิลิโอน ไปยังโมอับ ดินแดนที่อยู่ติดกัน ฝั่งตะวันออกของ แม่น้ำจอร์แดน  คงเป็นเพราะฝั่งโน้น พืชพรรณยังเขียวขจีอยู่  แทรกนิดนึง “เอบีเมเลค” แปลว่า “พระเจ้าเป็นพระราชา”  “ยูดา” แปลว่า “สรรเสริญ”  “เบธเลเฮม” แปลว่า “บ้านธัญญหาร”  และ “นาโอมี” แปลว่า “สุขสบาย” รวม ๆ กันแล้วคงแปลว่า พึ่งพระเจ้า มีแต่เสียงเพลง อิ่มหนำสำราญ  มีผู้พูดว่า  เวลาอยู่กับพระเจ้าและพบทุกข์บ้าง ระวัง อย่าหนีออกไปจากพระองค์เชียวนา  เพราะทุกข์นอกแผ่นดินพระเจ้า หนักกว่าเยอะ

 

            ก็จริงดังว่า

 

             ต่อมา  เอบีมาเลค  เสียชีวิต ทิ้งนาโอมี เป็นม่าย ไว้กับ ลูกชาย 2 คน   ส่วนลูกชายทั้งสองก็ไปแต่งงานกับหญิงชาวโมอับ “มาห์โลน” แต่งกับ “โอรปาห์”  คิลิโอน แต่งกับ “รูธ”   เวลาผ่านไปประมาณ 10 ปี ลูกชายทั้งสอง ของนาโอมี ก็เสียชีวิต ในแดนโมอับ คงเหลือแต่ นาโอมี กับลูกสะใภ้

 

 

 

 

ม่ายชาวโมอับ 2 คน  ลองคิดสิว่า มันเศร้าแค่ไหน  ถ้าเป็นบ้านเราวันนี้ เราก็คงเรียกดินแดนนี้ว่า “แดนคำสาป”  คนยิวก็ถืออย่างนั้นจริง ๆ โมเสส เคยสั่งว่า “อย่าให้คนอัมโมน หรือคนโมอับ เข้าในการประชุมของพระเจ้า ..พวกเขาเคยไล่และแช่งยิว แต่ท่านก็พูดต่อไปว่า “พระเจ้าทรงเปลี่ยนคำสาปแช่งให้เป็นคำอวยพร”  (ฉธบ 23:3-5) 

 

       2.  รูธ เลือกแผ่นดินพระเจ้า

 

            นาโอมี และสะใภ้ม่าย  2 คน ออกจากโมอับจะไปแผ่นดินยูดาห์  ขณะที่ยังอยู่ในโมอับ ได้ยินว่าอิสราเอลอุดมสมบูรณ์ขึ้น  นาโอมี บอกลูกสะใภ้ทั้งสองให้กลับไปโมอับ ไปมีเหย้ามีเรือนของพวกเธอ  ครั้งแรกทั้งสองสงสารแม่ผัว ร้องไห้จะขอตามไปด้วย เมื่อนาโอมี ชี้ให้เห็นว่า แม่ไม่มีลูกชายให้แต่งงานกับเธออีก  ที่อิสราเอล แม่ม่ายโมอับคงหาสามียิวได้ยาก สุดท้าย โอรปาก็จุบลาแม่ผัวไป  ส่วนรูธเกาะแม่ผัวอยู่  แม้นาโอมีจะคะยั้นคะยอ รูธ อย่างไร เธอก็ไม่ยอม “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่ หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย  แม่ไปไหน ฉันไปด้วย แม่ตายที่ไหน ฉันตายที่นั่น ญาติแม่คือญาติฉัน ชนชาติของแม่จะเป็นชนชาติของฉัน  พระเจ้าของแม่คือพระเจ้าของฉัน” ครับ นี่คำพูดก้องโลก ของรูธ แม่ม่ายโมอับ ที่สำแดงรักเมตตา จงรักภักดี ต่อแม่ผัวในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว  “ทุกข์ของแม่ จะเป็นทุกข์ของฉัน”

 

             ผมวิเคราะห์น่ะ 

 

            นอกเหนือจากใจจงรักภักดีต่อแม่ผัวแล้ว  เธอแลเห็น บางสิ่งบางอย่างที่ โอรปาห์  หรือสาวโมอับคนอื่นมองไม่เห็น  ตอนที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับคิลิโอน เป็นครั้งแรกที่เธอรู้จักแผ่นดินแห่งพระสัญญา  เธอเคยอยู่กับรูปเคารพโมอับ วันนี้ เธอมาพบพระเจ้า เที่ยงแท้ ผู้ทรงพระชนม์อยู่  เธอจะทิ้งพระองค์ได้อย่างไร “พระเจ้าของแม่ จะเป็นพระเจ้าของฉัน” (นางรูธ 1:16)  “ฝังแม่ที่ไหน ขอฝังฉันที่นั่น”  นี่ไม่ใช่ อารมณ์พาไป ไม่ใช่แค่วันสองวัน  แต่เป็นการตัดสินใจตลอดชีพ การกลับใจมาหาพระเจ้า  คือ การแลเห็นคุณค่าแห่งแผ่นดินพระเจ้า ที่คนทั่วไปแลไม่เห็น เขายินดีออกจากชีวิตเก่า และทุ่มเทให้กับชีวิตใหม่ 

 

        3.   รูธ พบโบอาส

        หลังจากกลับจากโมอับ มายังเบธเลเฮม แล้ว ใคร ๆ ที่รู้จักนาโอมี (สุขสบาย) คนเดิม ก็แปลกใจ เพราะเธอทรุดโทรม เศร้าหมอง  เธอบอกให้คนเรียกเธอใหม่ว่า “มารา” แปลว่า “ขม” เพราะเธอสิ้นเนื้อประดาตัว เธอมีเพียงสะใภ้ม่ายโมอับ ที่ตามเธอมาด้วย  ช่วงนั้นเป็นเวลาเก็บเกี่ยว รูธ ขันอาสาออกไปเก็บรวงข้าวตก  ที่ทุ่งนา เพื่อรับใช้ เลี้ยงดูแม่ผัว ตามแต่เจ้าของนาคนใดจะเมตตา เธอทำอย่างนี้  

 

 

 

 

“เผอิญเข้าไปในนาของโบอาส ตระกูลเดียวกับอาบีเมเลค” (นางรูธ 2:3)     

    

         “เผอิญ” โอ๊ะ โอ๋  เผอิญเหรอ? ผมเข้าใจน่ะ คือนาโอมีไม่ได้ชี้นำ ไม่มีใครเขียนป้ายไว้  ไม่มีใครบอก  พระเจ้าก็มิได้เข้าฝันเธอ เธอไปหารวงข้าวตกธรรมดา ๆ ของเธอ เดินไปเรื่อย ๆ เผอิญเข้าไปในนาของโบอาส  อย่างนั้นแหละครับ แต่ใครรู้บ้างว่าสุดท้าย คือการทรงนำของพระเจ้า  มีกี่ครั้งกี่หน เมื่อเราทบทวน ตอนนั้น เราคิดว่า บังเอิญมีคนมาเล่าเรื่องพระเยซูให้ฟัง แต่เบื้องหลังพระเจ้าทรงนำเรา  เปาโลว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำให้ท่านกลับใจใหม่” (โรม 2:4)   

 

        4.  รักแรกพบ

 

         “หญิงสาวคนนี้ เป็นคนของใคร?”  คนใช้ตอบว่า “เธอเป็นหญิงชาวโมอับ กลับมาจากแผ่นดินโมอับ พร้อมกับนาโอมี”(นางรูธ 2:6)  ธรรมดาคนยิวทั่วไป พอได้ยินว่าเป็นชาวโมอับ ก็แสยะหน้าเสียแล้ว  แต่โบอาสมองเธอแตกต่าง บอกเธอไม่ให้ไปเก็บข้าวตกที่นาอื่น เกรงหนุ่ม ๆ

 

 

 

 

 

จะรบกวน ให้ข้าวให้น้ำ ให้สาวใช้เป็นพี่เลี้ยง ให้คนใช้แกล้งทำข้าวตกเยอะ ๆ  ไม่ทราบโบอาสมองรูธอย่างไร แต่เธอพูดว่า “ดิฉันเป็นเพียงคนต่างด้าว ทำไมท่านจึงมองดิฉันด้วยความเอาใจใส่” (นางรูธ 2:10)  ผมไม่ทราบว่า รูธสวยหรือเปล่า แต่ “รูธ”  แปลว่า “สวย” แปลว่า “หญิงงาม” ครับ  ผมเชื่อว่า โบอัสรักเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเธอ 

 

โบอาส ถูกนำมาเปรียบกับพระเยซู  ท่านทราบหรือไม่ว่า  เวลาพระเยซูมองเห็นท่านนั้น  ท่านคือคนสวยของพระองค์   โลกชอบตราหน้าคน  ว่า คนนี้มาจากตระกูลย่ำแย่  อดีตอัปลักษณ์ และท่านก็หลงเชื่อเขา บอกตัวเองเช่นนั้น แต่ในสายพระเนตร ท่านเชื่อหรือไม่ ท่านคือคนงามของพระองค์ พระองค์มองด้วยความเอาใจใส่  โบอาส  ฉลาด เขารู้เรื่องเธอละทิ้งอดีตที่โอรปา เห็นว่ารุ่งเรือง เข้ามาพึ่งบารมีของอิสราเอล ขยันขันแข็ง ปฏิบัติแม่ผัวด้วยความสัตย์ซื่อ ไม่เห็นแก่ตัว เขารู้หมดแล้ว  ท่านทราบหรือไม่ พระเยซูรู้จักชีวิต และใจเสาะหาพระเจ้าเที่ยงแท้ของท่าน อย่างทะลุปรุโปร่ง พระองค์ทรงรักท่าน

 

       5. ไถ่ถอน เพื่อได้รูธมา

 

           ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับรูธนั้น นาโอมีทราบหมด เพราะสะใภ้คนนี้เล่าให้ฟังสิ้นยัง  เธออ่านออกว่า โบอาสชอบเธอ และเธอก็อ่านออกว่ารูธตกหลุมรักเขาด้วย  คนไทยเราว่า “รักเขาข้างเดียว เหี่ยวแห้งหัวโต” แต่เมื่อทั้งสองรักกัน มันง่ายขึ้นเยอะ 

 

            ผมจะเล่าให้ฟัง

 

            มันเป็นกฎที่พระเจ้าทรงสั่งให้โมเสสใช้กับคนอิสราเอล ในเลวีนิติ บทที่  25 ผมเล่าคร่าว ๆ น่ะครับ  คือคนยิวเมื่อมายึดครองปาเลสไตน์ ก็แบ่งกันปกครองแผ่นดิน ตามเผ่า ซึ่งมี 12 เผ่า แต่ละเผ่าก็แยกเป็นตระกูล เป็นครอบครัว เหมือนที่ดินจัดสรรนั่นแหละครับ ที่ใครที่มัน  ทำมาหากินกันไป ถ้าครอบครัวใดตกอับ ยากจนลง จะขายให้ครอบครัวอื่นก็ได้ แต่ขายให้ต่างชาติไม่ได้  เพราะถือว่าเป็นของพระเจ้า  ญาติถือครองได้ ไม่ตลอดไป คือถือได้นานไปจนถึงปีเสียงเขาสัตว์ (Jubilee Year) (7x7=49)   ในปีที่ 50 หนี้สิ้นของคนจนทั้งสิ้น ถูกล้างออกไปหมด ที่ดิน

 

นั้นตกเป็นของเจ้าเดิม  ถ้าเขาตกอับ ขายให้ใครในปีที่ 35 คนที่ซื้อที่ดินคนจนนั้น ก็ถือครองไปได้แค่อีก 15 ปี   อีกอย่างหนึ่ง คนที่มีสิทธิและสมควรช่วยซื้อที่ดินญาติตกอับนั้น ต้องญาติสนิทที่สุด ถ้าไม่ก็ต้องเป็นญาติถัดมา เช่น น้องชาย จะเป็นผู้มีสิทธิ ก่อนลูกพี่ลูกน้อง   กฎนี้ดูไม่แปลกเท่าไร  แต่ที่ฟังดูแปลกสำหรับเราหน่อย ก็คือ ถ้าที่ดินนั้นมีแม่ม่าย อยู่ด้วย  เขาต้องรับแม่ม่ายนั้นเป็นภรรยาด้วย  และลูกที่เกิดจากหญิงม่ายนั้น จะได้นามสกุลของพ่อเดิม ครองทรัพย์นั้น เช่นนี้ ทรัพย์สินจะไม่หายไปจากตระกูลเขา   รายละเอียดไปอ่านเอาในเลวีนิติ 25 น่ะครับ

  

         เอบีเมเลค มีที่ดินในความยากจนของนาโอมี และรูธนั้น โบอาส เป็นญาติใกล้ชิด มีสิทธิ สามารถ และสมควรไถ่ถอน โบอาสเป็นเศรษฐี  มีทรัพย์  ชื่อเขา “โบอาส”แปลว่า “มีกำลัง” ซึ่งคงหมายถึงทั้งกำลังทรัพย์ และสติปัญญา   

 

         เออ แต่มีอุปสรรคขวางอยู่  มีญาติใกล้เอบีเมเลค กว่าโบอาสอีกคนหนึ่ง เขามีสิทธิ์ก่อน เขาอาจร่ำรวยกว่าก็ได้ ผมไม่ทราบ  

         โบอาสก็ไม่รู้ว่ารูธจะตัดสินใจอย่างไร  

 

 

 

 

ตรงนี้ นาโอมีทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ ให้รูธแอบไปนอนใกล้โบอาส ที่ลานนวดข้าว ตกดึก โบอาสรู้สึกตัวทราบว่า มีผู้หญิงมานอนแทบเท้าตน ถามเธอว่า เธอคือใคร  รูธบอกว่า “ดิฉันคือรูธ คนใช้ของท่านค่ะ ขอท่านกางเสื้อของท่านห่มคนใช้ของท่านด้วย เพราะท่านเป็นญาติสนิทถัดมา” (นางรูธ 3:9) 

 

        นี่เป็นวิธีเปิดไฟเขียวบอกรักที่สวีทที่สุด  ผมจะบอกให้ โบอาสดีใจเนื้อเต้นเชียว เพราะรักรูธอยู่แล้ว ท่านทราบไหม พระเยซูรักท่านมาก  แต่ชีวิตใหม่จะเกิดได้ ท่านต้องบอกรักพระเยซูจากใจท่านเอง พระองค์จะไม่พังประตูใจของท่านเข้าไป โบอาสรับปากและรีบจัดการในวันรุ่งขึ้นเลย  คือ นัดพบญาติถัดมา พร้อมผู้ใหญ่ทั้งหลายเรื่องการไถ่ถอนที่ดินเอบีเมเลค  

      

         พอบอกให้ญาติใกล้ชิดที่สุดซื้อที่ดิน  ทีแรกเขารับปากเลยว่า เขาตกลงจะซื้อ  ผมไม่รู้ว่า โบอาสใจหายใจคว่ำ ใจตกไปถึงตาตุ่มหรือเปล่า  ครั้นเขาแจงให้ญาตินั้นทราบว่า ได้ที่ดินไป ต้องได้รูธแม่ม่ายผู้ตายชาวโมอับ แถมไปอีกคน เท่านั้นแหละครับ ญาติคนนั้น  ก็ปฏิเสธทันทีว่า “ผมซื้อไม่ได้ ..จะทำให้มรดกของเขาเสียไป” เห็นไหมล่ะครับ เขาไม่อยากได้รูธหรอก มีลูกกับเธอ ทรัพย์ก็เป็นของลูก เผลอ ๆตัวเองก็มีลูกอยู่แล้ว ยุ่งแน่ สำหรับเขา รูธคือแอก คือภาระที่เขาไม่เต็มใจแบก แต่ตรงกันข้าม โบอาสนั้น ดีใจแทบกระโดด (อันนี้ผมว่าเองน่ะครับ)  

 

ท่านทราบไหม  พระเยซูทรงวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั้น  เพื่อไถ่ถอนชีวิตของท่าน  เรามีหนี้ความผิดที่ต้องชำระ เราช่วยตัวเองไม่ได้ แต่พระองค์ทรงชำระหนี้นั้นแทนเรา ทรงทำด้วยเต็มพระทัย ด้วยความยินดี  เพราะรักเรา รักมากด้วย  ใจอันงดงาม สัตย์ซื่อ เสียสละ พร้อมร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์นั้น ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตร

 

โบอาส ไถ่ถอนที่ดิน ซ่อนรักรูธ  ผู้เห็นคุณค่าของแผ่นดินพระเจ้า

      

         6.  เธอคือต้นตระกูลของกษัตริย์ดาวิด และพระคริสต์

 

              แฮปปี้ เอ็นดิ้ง  “โบอาสรับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน  ท่านเข้าหานาง และพระเจ้าประทานให้นางตั้งครรภ์ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง” (นางรูธ 4:13) เป็นพระพรกับ นาโอมี  ฟังชาวบ้านพูดสิ “พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้า

 


 

ไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียง  เลื่องลือไปในอิสราเอล ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้า และเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้ เกิดมาจากลูสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้กว่าประเสริฐกว่าบุตรชาย 7 คน” (นางรูธ 4:14) ครับ ลูกโบอาสชื่อ โอเบด  เป็นบิดาของเจสซี ผู้เป็นบิดาของดาวิด นางรูธมีชื่อในลำดับพงศ์ของพระเยซูด้วยใน มัทธิว 1: 5  

 

 ผู้ศรัทธาที่พระเยซูคริสต์ ไถ่ถอนเขา จะได้รับพระพรเช่นเดียวกัน เขาจะเป็นต้นวงศ์ของผู้เชื่ออีกจำนวนมาก

 

               เอเมน


Visitor 124

 อ่านบทความย้อนหลัง