รางวัลของการรับใช้
คำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2006
ศจ. สมเกียรติ กิตติพงศ์

มัทธิว 19:26-20:16

พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง" แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่อมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า ผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่า และจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น

พระเยซูทรงสัญญาประทานรางวัลแก่ทุกคนที่ติดตามพระองค์ แก่สาวก 12 คนตอนนั้น พระองค์ทรงสัญญาให้เขาปกครองชนชาติอิสราเอล 12 เผ่า สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย พระองค์ทรงสัญญาว่า การที่เรายอมเสียสละ ทรัพย์สินในโลกนี้ เลือกพระองค์ก่อนครอบครัว หรือสิ่งอื่นใด พระองค์จะตอบแทนเขา 100 เท่า แม้ในโลกนี้ และหลังความตายชีวิตนิรันดร์ก็จะเป็นของเรา พระองค์ทรงพร้อมประทานรางวัลให้แก่เรา เหมือนดังพระสัญญาในพระธรรม มัทธิว 6:33 “แต่ท่านทั้งหลาย จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”
 
 


พระองค์ทรงพร้อมประทานให้แก่เราแต่ท่าทีของเราจะต้องถูกต้อง ท่าทีของผู้ตั้งคำถามนี้สำคัญ เพราะถ้าเรามีท่าทีผิด การติดตามพระองค์ และการรับใช้พระองค์ก็จะผิดพลาดไปหมด เพื่อตรวจสอบท่าทีของเรา พระองค์ทรงตรัสคำอุปมาเรื่อง คนทำงานในสวนองุ่น


คนแรก ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า นายตกลงไว้ว่าจะให้ค่าจ้างเขา 1 เหรียญเดนาริอัน คนที่สอง เริ่มเข้ามาทำงาน 9 โมงเช้า คนที 3 เริ่มงานเที่ยงวัน คนที่ 4 เริ่มงาน บ่าย 3 โมง และคนสุดท้าย เริ่มมาทำงาน 5 โมงเย็น เหมือนเราที่เข้ามารู้จักพระเจ้าในวัยที่แตกต่างกัน บางคนเริ่มแต่วัยเด็ก บางคนตอนเป็นหนุ่ม บางคนตอนกลางคน บางคนตอนชราแล้ว พลบค่ำ นายก็ให้ค่าจ้างทุกคนเท่ากัน คือ 1 เหรียญเดนาริอัน ตามที่ตกลงกับคนแรก ปรากฏว่าคนแรกไม่พอใจ ต่อว่านาย เขาเทียบตัวเองกับลูกจ้างคนอื่นๆ ครับ เราไม่ควรเปรียบเทียบพระพรที่เราได้รับกับใคร เราไม่ควรเปรียบเทียบอายุการเป็นผู้เชื่อกับคนอื่น แลเราไม่ควรคิดว่าเราต้องจ่ายอะไรไปแค่ไหน เราไม่ควรอิจฉา แต่ตรงกันข้าม ควรชื่นชมกับการที่คนอื่นได้รับพร ยิ่งมากยิ่งดีมิใช่หรือ
ท่าทีของชายคนนี้ไม่ถูก และหลายคนอาจมีท่าทีไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน เวลาเรามีท่าทีผิด การทำงานของเราจะออกมาในรูปแบบ
(1) นับชั่วโมงการทำงาน เราทำไปแค่ไหน เมื่อใดจะเสร็จเสียที
(2) เราจะหวังรางวัล สายตาของเราจะอยู่ที่ค่าจ้าง เลิกงานแล้วเราจะได้รางวัล ทำแล้วเราจะได้พร
(3) เราจะรู้สึกเบื่อหน่ายในงานที่เราทำ เราอาจซังกะตายทำงาน งานจะเป็นTask หรือภาระที่แสนเซ็ง ทำไปบ่นไป
(4) เราไม่ได้รักนาย จริงๆเรามิได้สนใจนายด้วยซ้ำ เราสนใจแต่สิ่งที่เราจะได้
(5) แล้วเราก็จะตั้งคำถามนี้ “ฉันจะได้อะไร”
พระเยซูทรงได้ยินเปโตรถามคำถามนี้ “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดติดตามพระองค์มา พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง
ตรงกันข้าม ถ้าท่าทีของเราถูกต้อง เราจะทำงานแตกต่างจากชายคนนี้ที่ถาม คือ เราจะ
(1)ลืมเรื่องเวลา
(2)มีความสุขกับความสัมพันธ์ที่มีระหว่างเรากับนาย
(3)เรา จะสนุกกับงาน
(4)เราจะรักนาย และ
(5)เราจะตั้งคำถามใหม่ว่า “เราจะทำให้พอใจนายได้อย่างไร”

คนที่อยู่ข้างต้นจะกลับไปอยู่ข้างปลาย และคนทีอยู่ข้างปลายจะกลับมาอยู่ข้างต้น แปลว่าอะไร คนที่เข้ามาก่อนถ้าเรามีท่าทีไม่ถูกต้อง งานของเราก็ไร้ประโยชน์ เราคงเป็นเหมือนชายคนนี้ที่บูดบึ้ง อิจฉา ไม่พอใจ ไร้ความสุขในการทำงาน ตรงกันข้ามแม้เราเข้าเป็นคนสุดท้าย
 
ถ้าท่าทีเราถูก รักนาย อยากปรนนิบัตินาย เราก็จะมีความสุข ความจริงใครคือคนได้เปรียบ ใครคือคนเสียเปรียบระหว่าง คนที่เข้ามาก่อนหรือคนที่เข้ามาทำงานในสวนองุ่นเพียงชั่วโมงเดียวก่อนพลบค่ำ ผมถามท่านว่า ใครคือคนได้เปรียบคนที่เข้ามารู้จักพระเจ้าก่อน หรือคนที่เข้ามารู้จักพระองค์ก่อนสิ้นใจจากโลกนี้ การรับใช้พระเจ้านาน หรือการรับใช้พระองค์ในระยะสั้นๆก่อนจากไปสวรรค์ ถ้าเราคิดว่าแบบหลังดีกว่า ก็ต้องถามใหม่ว่า เรารับใช้พระองค์เพราะอะไร รางวัลที่เราจะได้รับ หรือความสัมพันธ์ที่มีกับพระองค์ ยิ่งกว่า 1 เหรียญเดนาริกันซึ่งเป็นค่าจ้างตามข้อตกลง คือการมีโอกาสอยู่ในสวนองุ่น การรู้จักสนิทสนมกับเจ้าของสวนไม่ใช่หรือ และนี่แหละคือรางวัลอันแท้จริง ถ้าเรามีท่าทีไม่ถูก
ขอพระเจ้าช่วยให้เรามีท่าทีใหม่ แล้วเราจะมีความสุขในการติดตามพระองค์และการรับใช้ครับ



Visitor 496

 อ่านบทความย้อนหลัง